วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ดร. สมัย เหมมั่น Dr.Samai Hemman: อุตสาหกรรมเหล็กประเทศจีน ยุค Global Management

ดร. สมัย เหมมั่น Dr.Samai Hemman: อุตสาหกรรมเหล็กประเทศจีน ยุค Global Management: By Dr.Samai Hemman DBA Global Management ความหลากหลายทางชีวภาพ แพนด้ายักษ์ จีนเป็นหนึ่งใน 17 ประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง และ...

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

มงคลชีวิต 38 ประการ

 ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ วันพระ-ธรรมสวณะ ตรงกับ วันศุกร์ แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีเถาะ
> กราบเรียน/เรียน ท่านที่เคารพนับถือ
> ผมขอนำเสนอท่านเพื่อทราบ และพึงปฏิบัติตามอัธยาศัยของท่านครับ
> มงคลชีวิต ๓๘ ประการ
> ๑. การไม่คบคนพาล
> ท่านว่าลักษณะของคนพาลมี ๓ ประการคือ
> ๑.คิดชั่ว คือการมีจิตคิดอยากได้ในทางทุจริต มีความพยาบาท และมิจฉาทิฐิ
> คือเห็นผิดเป็นชอบ
> ๒.พูดชั่ว คือคำพูดที่ประกอบไปด้วยวจีทุจริตเช่น พูดเท็จ พูดส่อเสียด
> พูดคำหยาบ และพูดเพ้อเจ้อ
> ๓.ทำชั่ว คือทำอะไรที่ประกอบด้วยกายทุจริตเช่น การฆ่าสัตว์ ลักขโมย
> ฉ้อโกง ฉุดคร่าอนาจาร ประพฤติผิดในกาม
> รูปแบบของคนพาล มีข้อควรสังเกตคือ
> ๑. ชอบแนะนำไปในทางที่ผิด หรือที่ไม่ควรแนะนำ อาทิเช่น
> แนะนำให้ไปเล่นการพนัน ให้ไปลักขโมย ให้กินยาบ้า ให้เสพยา
> ชวนไปฉุดคร่าอนาจารเป็นต้น เหล่านี้ถือว่าเป็นพาล
> ๒. ชอบทำในสิ่งที่ไม่ใช่ธุระ อาทิเช่น
> ไม่ทำงานตามหน้าที่ของตนให้เรียบร้อย
> แต่กลับชอบจะไปก้าวก่ายยุ่งกับหน้าที่การงานของผู้อื่น
> หรือไปจับผิดเพื่อนร่วมงาน แกล้ง ยุยง นินทาว่าร้ายกันและกันเป็นต้น
> ๓. ชอบทำผิดโดยเห็นสิ่งผิดเป็นของดี อาทิเช่น การสูบยาได้เป็นฮีโร่
> เห็นคนที่ซื่อสัตย์เป็นคนโง่ไม่กินตามน้ำ ชอบรับสินบน ทุจริตในหน้าที่
> หรือช่วยพวกพ้องให้พ้นจากความผิดเป็นต้น
> ๔. จะโกรธเคืองเมื่อพูดเตือน อาทิเช่น การเตือนเรื่องการเที่ยวเตร่
> เตือนเรื่องการดื่มเหล้า กลับบ้านดึก เตือนเรื่องการคบเพื่อนเป็นต้น
> คนพวกนี้จะโกรธเมื่อได้รับการตักเตือน และไม่รับฟัง
> ๕. ไม่มีระเบียบวินัย อาทิเช่น ไม่เข้าคิวตามลำดับก่อนหลัง
> แต่ชอบแซงคิวอย่างหน้าด้านๆ ทิ้งขยะลงคลอง หรือข้างทาง
> ไม่เคารพกฎหมายของบ้านเมือง หรือของท้องถิ่นเป็นต้น
> ๒. การคบบัณฑิต
> บัณฑิต หมายถึงผู้ทรงความรู้ มีปัญญา มีจิตใจที่งาม
> และมีการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง รู้ดีรู้ชั่ว (ไม่ใช่คนที่จบปริญญาโดยนัย)
> มีลักษณะดังนี้คือ
> ๑. เป็นคนคิดดี คือการไม่คิดละโมบ ไม่พยาบาทปองร้ายใคร รู้จักให้อภัย
> เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ ความกตัญญูรู้คุณเป็นต้น
> ๒. เป็นคนพูดดี คือวจีสุจริต พูดจริง ทำจริงไม่โกหก ไม่พูดหยาบ ถากถาง นินทาว่าร้าย
> ๓. เป็นคนทำดี คือทำอาชีพสุจริต มีเมตตา ทำทานเป็นปกตินิสัย
> อยู่ในศีลธรรม ทำสมาธิภาวนา
> รูปแบบของบัณฑิต มีข้อควรสังเกตคือ
> ๑. ชอบชักนำในทางที่ถูกที่ควร อาทิเช่นการชักนำให้เลิกทำในสิ่งที่ผิด
> ตักเตือนให้ทำความดีอย่างเช่น ให้เลิกเล่นการพนันเป็นต้น
> ๒. ชอบทำในสิ่งที่เป็นธุระ อาทิเช่นการทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วง
> และใช้เวลาที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์
> ไม่ก้าวก่ายเรื่องของผู้อื่นเว้นแต่จะได้รับการร้องขอ
> ๓. ชอบทำและแนะนำสิ่งที่ถูกที่ควร อาทิเช่นการพูดและทำอย่างตรงไปตรงมา
> แนะนำการทำทานที่ถูกต้อง ทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น
> ๔. รับฟังดี ไม่โกรธ อาทิเช่นเมื่อมีคนมาว่ากล่าวก็ไม่ถือโทษ หรือโกรธ
> หรือทำอวดดี แต่จะรับฟังแล้วนำไปพิจารณาโดยยุติธรรม
> แล้วนำมาแก้ไขปรับปรุง
> ๕. รู้ระเบียบกฏกติกามรรยาทที่ดี อาทิเช่นการรักษาระเบียบวินัยขององค์กร
> เพื่อให้หมู่คณะมีความเป็นระเบียบ และการดำเนินงานไม่สับสน
> หรือการรักษาความสะอาด ปฏิบัติ และเคารพกฎ ของสถานที่ ไม่ทำตามอำเภอใจ
> ๓. การบูชาบุคคลที่ควรบูชา
> การบูชา คือการแสดงความเคารพบุคคลที่เรานับถือ ยกย่อง
> เลื่อมใสในบุคคลคนนั้น ซึ่งการบูชาแบ่งออกเป็น ๒ อย่างคือ
> ๑. อามิสบูชา คือการบูชาด้วยสิ่งของเช่น การนำเงินให้พ่อแม่ไว้ใช้จ่าย
> หรือมอบทรัพย์สินให้พ่อแม่ หรือการนำดอกไม้
> ธูปเทียนไปบูชาพระก็ถือเป็นอามิสบูชาเป็นต้น
> ๒.ปฏิบัติบูชา คือการบูชาด้วยการเจริญสมาธิภาวนา การฝึกจิตให้ไม่ฟุ้งซ่าน
> เห็นความจริงในความเป็นไปของโลกเป็นต้น
> บุคคลที่ควรบูชา มีดังนี้คือ
> ๑.พระพุทธเจ้า (คงไม่ต้องอธิบาย)
> ๒.พระปัจเจกพระพุทธเจ้า หมายถึงพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา
> ๓.พระมหากษัตริย์ผู้ตั้งอยู่ในทศพิศราชธรรม
> ๔.บิดามารดา
> ๕.ครูอาจารย์ ที่มีความรู้ดี มีความสามารถ และประพฤติดี
> ๖.อุปัชฌาย์ หรือผู้บังคับบัญชาที่มีความประพฤติดี ตั้งอยู่ในธรรม
> ๔. การอยู่ในถิ่นอันสมควร
> ถิ่นอันสมควรควรประกอบด้วยสิ่งแวดล้อม ๔ อย่างได้แก่
> ๑.อาวาสเป็นที่สบาย หมายถึงอยู่แล้วสบาย เช่นสะอาด เดินทางไปมาสะดวก
> อากาศดี เป็นแหล่งชุมชน ไม่มีแหล่งอบายมุขเป็นต้น
> ๒.อาหารเป็นที่สบาย หมายถึงอาหารการกินอุดมสมบูรณ์
> เช่นมีแหล่งอาหารที่สามารถจัดซื้อหามาได้ง่าย เป็นต้น
> ๓.บุคคลเป็นที่สบาย หมายถึงที่ที่มีคนดี จิตใจโอบอ้อมอารี
> ถ้อยทีถ้อยอาศัย มีศีลธรรม ไม่มีโจร นักเลง หรือใกล้แหล่งอิทธิพลเป็นต้น
> ๔.ธรรมะเป็นที่สบาย หมายถึงมีที่พึ่งด้านธรรมะ มีที่ฟังธรรมเช่น
> มีวัดอยู่ในละแวกนั้น มีโรงเรียน หรือแหล่งศึกษาหาความรู้เป็นต้น
> ๕. เคยทำบุญมาก่อน
> ขึ้นชื่อว่าบุญนั้น มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้คือ
> ๑. ทำให้กาย วาจา และใจ สะอาดได้
> ๒. นำมาซึ่งความสุข
> ๓. ติดตามไปได้ หมายถึงบุญจะติดตัวเราไปได้ตลอดจนถึงชาติหน้า
> ๔. เป็นของเฉพาะตน หมายถึงขอยืม หรือแบ่งกันไม่ได้ ทำเองได้เอง
> ๕. เป็นที่มาของโภคทรัพย์ทั้งหลาย
> คือว่าผลของบุญจะบันดาลให้เกิดขึ้นได้เองโดยไม่ได้หวังผล
> ๖. ให้มนุษย์สมบัติ ทิพย์สมบัติ และนิพพานสมบัติแก่เราได้
> หมายถึงความสมบูรณ์ตั้งแต่ทางโลก จนถึงนิพพานได้เลย
> ๗. เป็นปัจจัยให้ถึงซึ่งนิพพาน
> ก็คือเป็นปัจจัยในการส่งเสริมให้บรรลุถึงนิพพานได้เร็วขึ้นเมื่อปฏิบัติ
> ๘. เป็นเกราะป้องกันภัยในวัฏสังสาร หมายถึงในวงจรการเกิด แก่ เจ็บ ตาย
> หรือที่เรียกว่าเวียนว่ายตายเกิดนั้น บุญจะคุ้มครองให้ผู้นั้นเกิดในที่ดี
> อยู่อย่างมีความสุข หรือตายอย่างไม่ทรมาน
> ขึ้นอยู่กับกำลังบุญที่สร้างสมมา
> การทำบุญนั้นมีหลายวิธี แต่พอสรุปได้สั้นๆดังนี้คือ
> ๑.การทำทาน
> ๒.การรักษาศีล
> ๓.การเจริญภาวน
> ๖. การตั้งตนชอบ
> หมายถึงการดำเนินชีวิตอย่างมีเป้าหมาย ด้วยความถูกต้องและสุจริต
> อยู่ในสัมมาอาชีพ มีแผนการที่จะไปให้ถึงจุดหมายนั้นด้วยความไม่ประมาท
> มีการเตรียมพร้อม และมีความอดทนไม่ละทิ้งกลางคัน
> ๗. ความเป็นพหูสูต
> คือเป็นผู้ที่ฟังมาก เล่าเรียนมาก เป็นผู้รอบรู้ โดยมีลักษณะดังนี้คือ
> ๑.รู้ลึก คือการรู้ในสิ่งนั้นๆ เรื่องนั้นๆอย่างหมดจดทุกแง่ทุกมุม
> อย่างมีเหตุมีผล รู้ถึงสาเหตุจนเรียกว่าความชำนาญ
> ๒.รู้รอบ คือการรู้จักช่างสังเกตในสิ่งต่างๆ รอบตัว เช่นเหตุการณ์แวดล้อมเป็นต้น
> ๓.รู้กว้าง คือการรู้ในสิ่งใกล้เคียงกับเรื่องนั้นๆ ที่เกี่ยวข้องกัน
> สัมพันธ์กันเป็นต้น
> ๔.รู้ไกล คือการศึกษาถึงความเป็นไปได้ ผลในอนาคตเป็นต้น
> ถ้าอยากจะเป็นพหูสูตก็ควรต้องมีคุณสมบัติดังว่านี้คือ
> ๑.ความตั้งใจฟัง ก็คือชอบฟัง ชอบอ่านหาความรู้ และค้นคว้าเป็นต้น
> ๒.ความตั้งใจจำ ก็คือรู้จักวิธีจำ โดยตั้งใจอ่านหรือฟังในสิ่งนั้นๆ
> และจับใจความให้ได้
> ๓.ความตั้งใจท่อง ก็คือท่องให้รู้โดยอัตโนมัติ ไม่ลืม ในสิ่งที่เป็นสาระสำคัญ
> ๔.ความตั้งใจพิจารณา ก็คือการรู้จักพิจารณา ตรึกตรองในสิ่งนั้นๆอย่างทะลุปรุโปร่ง
> ๕.ความเข้าใจในปัญหา ก็คือการรู้อย่างแจ่มแจ้งในปัญหาอย่างถ่องแท้ด้วยปัญญา
> ๘. การรอบรู้ในศิลปะ
> ศิลปะ คือสิ่งที่แสดงออกถึงความงดงาม และมีความสุนทรีย์ โดยลักษณะของมันมีดังนี้คือ
> ๑.มีความประณีต
> ๒.ทำให้ของดูมีค่ามากขึ้น
> ๓.ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์
> ๔.ไม่ทำให้เกิดกามกำเริบ
> ๕.ไม่ทำให้เกิดความพยาบาท
> ๖.ไม่ทำให้เกิดความเบียดเบียน
> ถ้าท่านอยากเป็นคนมีศิลปะ ควรต้องฝึกให้มีคุณสมบัติเหล่านี้ไว้ในตัวคือ
> ๑.มีศรัทธาในความงดงามของสิ่งต่างๆ
> ๒.หมั่นสังเกตและพิจารณา
> ๓.มีความประณีต อารมณ์ละเอียดอ่อน
> ๔.เป็นคนสุขุม มีความคิดสร้างสรรค์
> ๙. มีวินัยที่ดี
> วินัย ก็คือข้อกำหนด ข้อบังคับ
> กฏเกณฑ์เพื่อควบคุมให้มีความเป็นระเบียบนั่นเอง
> มีทั้งวินัยของสงฆ์และของคนทั่วไป สำหรับของสงฆ์นั้นมีทั้งหมด ๗
> อย่างหรือเรียกว่า อนาคาริยวินัย ส่วนของบุคคลทั่วไปก็มี ๑๐ อย่าง
> คือการละเว้นจากอกุศลกรรม ๑๐ ประการ
> อนาคาริยวินัยของพระมีดังนี้
> ๑.ปาฏิโมกขสังวร คือการอยู่ในศีลทั้งหมด ๒๒๗ ข้อ
> การผิดศีลข้อใดข้อหนึ่งก็ถือว่าต้องโทษแล้วแต่ความหนักเบา
> เรียงลำดับกันไปตั้งแต่ ขั้นปาราชิก สังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์
> ปาฏิเทสนียะ ทุกฏ ทุพภาสิต เป็นต้น (ความหมายของแต่ละคำมันต้องอธิบายเยอะ
> จะไม่กล่าวในที่นี้)
> ๒.อินทรียสังวร คือการสำรวมอายตนะทั้ง ๕ และกาย วาจา ใจ
> ให้อยู่กับร่องกับรอย โดยอย่าไปเพลิดเพลินติดกับสิ่งที่มาสัมผัสเหล่านั้น
> ๓.อาชีวปาริสุทธิสังวร คือการหาเลี้ยงชีพในทางที่ชอบ
> นั่นก็คือการออกบิณฑบาตร ไม่ได้เรียกร้อง
> เรี่ยไรหรือเที่ยวขอเงินชาวบ้านมาเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของตัวเอง
> ๔.ปัจจยปัจจเวกขณะ
> คือการพิจารณาในสิ่งของทั้งหลายถึงคุณประโยชน์โดยเนื้อแท้ของสิ่งของเหล่านั้นอย่างแท้จริง
> โดยใช้เพื่อบริโภค เพื่อประโยชน์ ความอยู่รอด
> และความเป็นไปของชีวิตเท่านั้น
> วินัยสำหรับฆราวาส หรือบุคคลทั่วไป เรียกว่าอาคาริย วินัย มีดังนี้
> (อกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ)
> ๑.ไม่ฆ่าชีวิตคน หรือสัตว์ไม่ว่าน้อย ใหญ่
> ๒.ไม่ลักทรัพย์ ยักยอกเงิน สิ่งของมาเป็นของตัว
> ๓.ไม่ประพฤติผิดในกาม ผิดลูกผิดเมีย ข่มขืนกระทำชำเรา
> ๔.ไม่พูดโกหก หลอกลวงให้หลงเชื่อ หรือชวนเชื่อ
> ๕.ไม่พูดส่อเสียด นินทาว่าร้าย ยุยงให้คนแตกแยกกัน
> ๖.ไม่พูดจาหยาบคาย ให้เป็นที่แสลงหูคนอื่น
> ๗.ไม่พูดจาไร้สาระ หรือที่เรียกว่าพูดจาเพ้อเจ้อไม่มีสาระ เหตุผล หรือประโยชน์อันใด
> ๘.ไม่โลภอยากได้ของเขา คือมีความคิดอยากเอาของคนอื่นมาเป็นของเรา
> ๙.ไม่คิดร้าย ผูกใจเจ็บ แค้น ปองร้ายคนอื่น
> ๑๐.ไม่เห็นผิดเป็นชอบ เช่น เห็นว่าพ่อแม่ไม่มีความสำคัญ
> บุญหรือกรรมไม่มีจริงเป็นต้น
> ๑๐.กล่าววาจาอันเป็นสุภาษิต
> คำว่าวาจาอันเป็นสุภาษิตในที่นี้มิได้หมายถึงเพียงว่าต้องเป็นคำร้อยกรอง
> ร้อยแก้ว เป็นคำคมบาดใจมีความหมายลึกซึ้งเท่านั้น แต่รวมถึงคำพูดที่ดี
> มีประโยชน์ต่อผู้ฟัง ซึ่งสรุปว่าประกอบด้วยลักษณะดังนี้
> ๑.ต้องเป็นคำจริง คือข้อมูลที่ถูกต้อง มีหลักฐานอ้างอิงได้ ไม่ได้ปั้นแต่งขึ้นมาพูด
> ๒.ต้องเป็นคำสุภาพ คือพูดด้วยภาษาที่สุภาพ มีความไพเราะในถ้อยคำ
> ไม่มีคำหยาบโลน หรือคำด่า
> ๓.พูดแล้วมีประโยชน์ คือมีประโยชน์ต่อผู้ฟังถ้าหากนำแนวทางไปคิด
> หรือปฏิบัติในทางสร้างสรรค์
> ๔.พูดด้วยจิตที่มีเมตตา คือพูดด้วยจิตใจที่มีความปรารถนาดีต่อผู้ฟัง
> มีความจริงใจต่อผู้ฟัง
> ๕.พูดได้ถูกกาลเทศะ คือพูดในสถานที่เหมาะสม และในเวลาที่เหมาะสม
> โดยความเหมาะสมจะมีมากน้อยเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับเรื่องที่พูด
> ๑๑.การบำรุงบิดามารดา
> ท่านว่าพ่อแม่นั้นเปรียบได้เป็นทั้ง ครูของลูก เทวดาของลูก พรหมของลูก
> และอรหันต์ของลูก ความหมายโดยละเอียดมีดังต่อไปนี้คือ
> ที่ว่าเป็นครูของลูก เพราะว่าท่านได้คอยอบรมสั่งสอนลูก เป็นคนแรกก่อนคนอื่นใดในโลก
> ที่ว่าเป็นเทวดาของลูก เพราะว่าท่านจะคอยปกป้อง คุ้มครอง เลี้ยงดู
> ประคบประหงมมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก บำรุงให้เติบใหญ่เป็นอย่างดี
> ไม่ให้เกิดอันตรายต่อลูกในทุกด้าน
> ที่ว่าเป็นพรหมของลูก เพราะว่าท่านมีพรหมวิหาร ๔ นั่นก็คือ มีเมตตา
> หมายถึงความเอ็นดู ความปรารถนาดีต่อลูกในทุกๆด้าน ไม่มีที่สิ้นสุด
> มีกรุณา หมายถึงให้ความกรุณาต่อลูก ลูกอยากได้อะไรก็หามาให้ลูก
> ให้การศึกษาเล่าเรียน ส่งเสียเท่าที่มีความสามารถจะให้ได้ มีมุทิตา
> หมายถึงความรักที่ยอมสละได้แม้ชีวิตของตัวเองเพื่อลูก
> ยอมเสียสละได้ทุกอย่าง และมีอุเบกขา หมายถึงการวางเฉย
> ไม่ถือโกรธเมื่อลูกประมาท ซน ทำผิดพลาดเพราะความไร้เดียงสา
> หรือเพราะความไม่รู้
> ที่ว่าเป็นอรหันต์ของลูก เพราะว่าท่านมีคุณธรรม ๔ ประการอันได้แก่
> เป็นผู้มีอุปการะคุณต่อลูก คืออุปการะเลี้ยงดูมาด้วยความเหนื่อยยาก
> กว่าจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่
> เป็นผู้มีพระเดชพระคุณต่อลูก คือให้ความอบอุ่นเลี้ยงดู ปกป้องจากภยันตรายต่างๆ นานา
> เป็นเนื้อนาบุญของลูก คือลูกเป็นส่วนหนึ่งของกรรมดีที่พ่อแม่ได้ทำไว้
> และเป็นผู้รับผลบุญที่พ่อแม่ได้สร้างไว้แล้วทางตรง
> เป็นอาหุไนยบุคคล คือเป็นเหมือนพระที่ควรแก่การเคารพนับถือและรับของบูชา
> เพื่อเทอดทูนไว้เป็นแบบอย่าง
> การทดแทนพระคุณบิดามารดาท่านสามารถทำได้ดังนี้
> ระหว่างเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็เลี้ยงดูท่านเป็นการตอบแทน
> ช่วยเหลือเป็นธุระเรื่องการงานให้ท่าน
> ดำรงวงศ์ตระกูลให้สืบไปไม่ทำเรื่องเสื่อมเสีย
> รวมทั้งประพฤติตนให้ควรแก่การเป็นสืบทอดมรดกจากท่าน
> ครั้นเมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ก็ทำบุญอุทิศกุศลให้ท่าน
> ส่วนการเป็นลูกกตัญญูต่อพ่อแม่ในคำสอนของพระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่าไว้ดังนี้
> ๑.ถ้าท่านยังไม่มีศรัทธา ให้ท่านถึงพร้อมด้วยศรัทธา
> คือพยายามให้ท่านมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา เชื่อในเรื่องการทำดี
> ๒.ถ้าท่านยังไม่มีศีล ให้ท่านถึงพร้อมด้วยศีล
> คือพยายามให้ท่านเป็นผู้รักษาศีล ๕ ให้ได้
> ๓.ถ้าท่านเป็นคนตระหนี่ ให้ท่านถึงพร้อมด้วยการให้ทาน
> คือพยายามให้ท่านรู้จักการให้ด้วยเมตตาโดยไม่หวังผลตอบแทน
> ๔.ถ้าท่านยังไม่ทำสมาธิภาวนา ให้ท่านถึงพร้อมด้วยปัญญา
> คือพยายามให้ท่านหัดนั่งทำสมาธิภาวนาให้ได้
> ๑๒.การสงเคราะห์บุตร
> คำว่าบุตรนั้น มีอยู่ ๓ ประเภทได้แก่
> ๑.อภิชาติบุตร คือบุตรที่มีความดี คุณธรรม และความสามารถเหนือกว่าบิดา มารดา
> ๒.อนุชาตบุตร คือบุตรที่มีความดี คุณธรรม และความสามารถเสมอบิดา มารดา
> ๓.อวชาตบุตร คือบุตรที่มีความดี คุณธรรม และความสามารถต่ำกว่าบิดา มารดา
> การที่เราเป็นพ่อ เป็นแม่ของบุตรนั้น มีหน้าที่ที่ต้องให้กับลูกของเราคือ
> ๑.ห้ามไม่ให้ทำความชั่ว
> ๒.ปลูกฝัง สนับสนุนให้ทำความดี
> ๓.ให้การศึกษาหาความรู้
> ๔.ให้ได้คู่ครองที่ดี (ใช้ประสพการณ์ของเราให้คำปรึกษาแก่ลูก ช่วยดูให้)
> ๕.มอบทรัพย์ให้ในโอกาสอันควร (การทำพินัยกรรม ก็ถือว่าเป็นสิ่งถูกต้อง)
> ๑๓.การสงเคราะห์ภรรยา
> เมื่อว่าด้วยเรื่องคนที่จะมาเป็นคู่ครองของชาย
> หรือที่เรียกว่าจะมาเป็นภรรยานั้น ในโลกนี้ท่านแบ่งลักษณะของภรรยาออกเป็น
> ๗ ประเภทได้แก่
> ๑.วธกาภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยเพชรฆาต เป็นพวกที่มีจิตใจคิดไม่ดี
> ชอบทำร้าย ชอบด่าทอสาปแช่ง คิดฆ่าสามี หรือมีชู้กับชายอื่น
> ๒.โจรีภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยโจร เป็นคนล้างผลาญ สร้างหนี้สิน
> หาได้เท่าไรก็ไม่พอ
> หรือเอาเรื่องในบ้านไปโพทนาให้คนข้างนอกรับรู้ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง
> ๓.อัยยาภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยนาย เป็นคนชอบข่มสามีให้อยู่ในอำนาจ
> ไม่ให้เกียรติสามีเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น ชอบสั่งการหรือเอาแต่ใจตัวเอง
> เห็นสามีเป็นคนไร้ความสามารถ แต่ตัวเองเป็นผู้นำ
> ๔.มาตาภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยแม่
> คือผู้ที่มีความรักต่อสามีอย่างสุดซึ้ง ไม่เคยทอดทิ้งแม้ยามทุกข์ยาก
> ป่วยไข้ ไม่ทำให้มีเรื่องสะเทือนใจ
> ๕.ภคินีภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยน้องสาว
> คือผู้ที่มีความเคารพต่อสามีในฐานะพ่อบ้าน
> แต่ขัดใจกันบ้างตามประสาคนใกล้ชิดกันแล้วก็ให้อภัยกัน โดยไม่คิดพยาบาท
> เดินตามแนวทางของสามี ต้องพึ่งพาสามี
> ๖.สขีภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยเพื่อน ต่างคนต่างก็มีอะไรที่เหมือนกัน
> ความสามารถพอกัน ไม่จำเป็นต้องพึ่งพากัน ไม่ค่อยยอมกัน เป็นตัวของตัวเอง
> แต่ก็รักกันและช่วยเหลือกันโดยต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง
> ๗.ทาสีภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยคนรับใช้
> คือภรรยาที่อยู่ภายใต้คำสั่งสามีโดยไม่มีข้อโต้แย้ง สามีเป็นผู้เลี้ยงดู
> สั่งอะไรก็ทำอย่างนั้นแม้จะไม่เห็นด้วยก็ไม่ออกความเห็น
> อดทนทำงานตามหน้าที่ตามแต่สามีจะสั่งการ แม้ถูกดุด่า
> เฆี่ยนตีก็ยังทนอยู่ได้โดยไม่โต้ตอบ
> ท่านว่าคนที่จะมาเป็นสามี ภรรยาได้ดีหรือคู่สร้างคู่สมนั้นควรต้องมีคุณสมบัติดังนี้
> ๑.สมสัทธา คือมีศรัทธาเสมอกัน
> ๒.สมสีลา คือมีศีลเสมอกัน
> ๓.สมจาคะ คือมีการเสียสละเหมือนกัน
> ๔.สมปัญญา คือมีปัญญาเสมอกัน
>
> เมื่อได้แต่งงานกันแล้ว แต่ละฝ่ายก็มีหน้าที่ที่ต้องทำดังนี้
> สามีมีหน้าที่ต่อภรรยาคือ
> ๑.ยกย่องนับถือว่าเป็นภรรยา คือการแนะนำเปิดเผยว่าเป็นภรรยา
> ไม่ปิดบังกับผู้อื่น และให้เกียรติภรรยาในการตัดสินใจเรื่องต่างๆด้วย
> ๒.ไม่ดูหมิ่น คือไม่ดูถูกภรรยาเมื่อทำไม่เป็น ทำไม่ถูก
> หรือเรื่องชาติตระกูล การศึกษาว่าต่ำต้อยกว่าตน แต่ต้องสอนให้
> ๓.ไม่ประพฤตินอกใจภรรยา คือการไปมีเมียน้อยนอกบ้าน เลี้ยงต้อย
> หรือเที่ยวเตร่หาความสำราญกับหญิงบริการ
> ๔.มอบความเป็นใหญ่ให้ในบ้าน คือการมอบธุระทางบ้านให้กับภรรยาจัดการ
> รับฟังและทำตามความเห็นของภรรยาเกี่ยวกับบ้าน
> ๕.ให้เครื่องแต่งตัว คือให้ความสุขกับภรรยาเรื่องการแต่งตัวให้พอดี
> เพราะสตรีเป็นผู้รักสวยรักงามโดยธรรมชาติ
> ฝ่ายภรรยาก็มีหน้าที่ต้องตอบแทนสามีคือ
> ๑.จัดการงานดี คืองานบ้านการเรือนต้องไม่บกพร่อง ดูแลด้านความสะอาด
> ทำนุบำรุงรักษา ด้านโภชนาการให้เรียบร้อยดี
> ๒.สงเคราะห์ญาติสามีดี คือให้ความเอื้อเฟื้อญาติฝ่ายสามี
> เท่าที่ตนมีกำลังพอทำได้ ไม่ได้หมายถึงเรื่องทรัพย์สินเงินทองอย่างเดียว
> ๓.ไม่ประพฤตินอกใจสามี คือไม่คบชู้ หรือปันใจให้ชายอื่น ซื่อสัตย์ต่อสามีคนเดียว
> ๔.รักษาทรัพย์ให้อย่างดี
> คือรู้จักรักษาทรัพย์สินไว้ไม่ให้หมดไปด้วยความสิ้นเปลือง
> แต่ก็ไม่ถึงกับตระหนี่
> ๕.ขยันทำงาน คือไม่เกียจคร้านเอาแต่ออกงาน นอน กิน
> หรือเที่ยวแต่อย่างเดียว ต้องทำงานบ้านด้วย
> ๑๔.การทำงานไม่ให้คั่งค้าง
> ว่าด้วยสาเหตุที่ทำให้งานคั่งค้างนั้นสรุปสาเหตุได้เพราะว่า
> ๑.ทำงานไม่ถูกกาล
> ๒.ทำงานไม่ถูกวิธี
> ๓.ไม่ยอมทำงาน
> หลักการทำงานให้เสร็จลุล่วงมีดังนี้
> ๑.ฉันทะ คือมีความพอใจในงานที่ทำ
> ๒.วิริยะ คือมีความตั้งใจ พากเพียรในงานที่ทำ
> ๓.จิตตะ คือมีความเอาใจใส่ในงานที่ทำ
> ๔.วิมังสา คือมีการคิดพิจารณาทบทวนงานนั้น
> ๑๕.การให้ทาน
> การให้ทาน คือการให้ที่ไม่หวังผลตอบแทนโดยหมายให้ผู้ได้รับได้พ้นจากทุกข์
> แบ่งออกเป็น ๓ อย่างได้แก่
> ๑.อามิสทาน คือการให้วัตถุ สิ่งของ หรือเงินเป็นทาน
> ๒.ธรรมทาน คือการสอนให้ธรรมะเป็นความรู้เป็นทาน
> ๓.อภัยทาน คือการให้อภัยในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ดีกับเรา ไม่จองเวร หรือพยาบาทกัน
> การให้ทานที่ถือว่าเป็นความดี และได้บุญมากนั้นจะประกอบด้วยปัจจัย ๓
> ประการอันได้แก่
> ๑.วัตถุบริสุทธิ์ คือเป็นของที่ได้มาโดยสุจริต ไม่ได้ไปยักยอกมา โกงมา
> หรือได้มาด้วยวิธีแยบยล
> ๒.เจตนาบริสุทธิ์ คือมีจิตยินดี ผ่องใสเบิกบาน
> ไม่รู้สึกเสียดายสิ่งที่ให้ ตั้งแต่ก่อนให้ ขณะให้ และหลังให้
> ๓.บุคคลบริสุทธิ์ คือให้กับผู้รับที่มีศีลธรรม ตัวผู้ให้เองก็ต้องมีศีลที่บริสุทธิ์
>
> การให้ทานที่ถือว่าไม่ดี และยังอาจเป็นบาปกรรมถึงเราทางอ้อมอีกด้วยได้แก่
> ๑.ให้สุรา ยาเสพย์ติด เป็นต้น (ถ้าเขาเมาแล้วขับรถชนตาย เราก็มีส่วนบาปด้วย)
> ๒.ให้อาวุธ (ถ้าอาวุธนั้นถูกเอาไปใช้ประหัตประหาร บาปก็มาถึงเราด้วย)
> ๓.ให้มหรสพ คือการบันเทิงทุกรูปแบบ
> ๔.ให้สัตว์เพศตรงข้ามเพื่อผสมพันธุ์ อันนี้รวมถึงการจัดหาสาวๆ
> ไปบำเรอผู้มีอำนาจหรือผู้น้อยด้วยเป็นต้น
> ๕.ให้ภาพลามก หรือสิ่งพิมพ์ลามก เพราะทำให้เกิดความกำหนัด เกิดกามกำเริบ
> (เมื่อดูแล้วเกิดไปฉุดคร่า ข่มขืนใคร บาปก็ตกทอดมาถึงเราด้วย)
> ๑๖.การประพฤติธรรม
> การประพฤติธรรม ก็คือการปฏิบัติให้เป็นไป แบ่งออกได้เป็น ๒ อันได้แก่
> กายสุจริต คือ
> ๑.การไม่ฆ่าสัตว์ หมายรวมหมดตั้งแต่สัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ และมนุษย์
> ๒.การไม่ลักทรัพย์ หมายรวมถึงการคอรัปชั่น ไปหลอกลวง ปล้นจี้ชาวบ้านด้วย
> ๓.การไม่ประพฤติผิดในกาม หมายรวมถึงการคบชู้ นอกใจภรรยา และการข่มขืนด้วย
> วจีสุจริต คือ
> ๑.การไม่พูดเท็จ คือการพูดแต่ความจริง ไม่หลอกลวง
> ๒.การไม่พูดคำหยาบ คือคำที่ฟังแล้วไม่รื่นหู เกิดความรู้สึกไม่สบายใจรวมหมด
> ๓.การไม่พูดจาส่อเสียด การนินทาว่าร้าย
> ๔.การไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล คือการพูดที่ไม่เป็นสาระ หาประโยชน์อันใดมิได้
> มโนสุจริต คือ
> ๑.การไม่โลภอยากได้ของผู้อื่น คือการนึกอยากได้ของเขามาเป็นของเรา
> ๒.การไม่คิดพยาบาทปองร้ายผู้อื่น คือการนึกอยากให้คนอื่นประสพเคราะห์กรรม
> คิดจะทำร้ายผู้อื่น
> ๓.การเห็นชอบ คือมีความเชื่อความเข้าใจในความเป็นจริง
> ความถูกต้องตามหลักคำสอนตามแนวทางพระพุทธศาสนา
> ๑๗.การสงเคราะห์ญาติ
> ลักษณะของญาติที่ควรให้การสงเคราะห์ เมื่ออยู่ในฐานะดังนี้คือ
> ๑.เมื่อยากจนหาที่พึ่งมิได้
> ๒.เมื่อขาดทุนทรัพย์ในการค้าขาย
> ๓.เมื่อขาดยานพาหนะ
> ๔.เมื่อขาดอุปกรณ์ทำมาหากิน
> ๕.เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย
> ๖.เมื่อคราวมีธุระการงาน
> ๗.เมื่อคราวถูกใส่ความหรือมีคดี
> การสงเคราะห์ญาติ ทำได้ทั้งทางธรรมและทางโลกได้แก่
> ในทางธรรม ก็ช่วยแนะนำให้ทำบุญกุศล ให้รักษาศีล และทำสมาธิภาวนา
> ในทางโลก ก็ได้แก่
> ๑.ให้ทาน คือการสงเคราะห์เป็นทรัพย์สิน
> หรือเงินทองเพื่อให้เขาพ้นจากทุกข์หรือความลำบากตามแต่กำลัง
> ๒.ใช้ปิยวาจา คือการพูดเจรจาด้วยถ้อยคำที่อ่อนโยน สุภาพ
> และประกอบไปด้วยความปรารถนาดี
> ๓.มีอัตถจริยา คือการประพฤติตนให้เป็นประโยชน์กับเขา
> อาจช่วยเหลือด้วยแรงกาย กำลังใจ หรือด้วยความสามารถที่มี
> ๔.รู้จักสมานัตตตา คือการวางตัวให้เหมาะสม อย่างเสมอต้นเสมอปลาย
> ร่วมทุกข์ร่วมสุข ไม่ถือตัว
> ๑๘.ทำงานที่ไม่มีโทษ
> งานที่ไม่มีโทษ ประกอบด้วยลักษณะดังต่อไปนี้
> ๑.ไม่ผิดกฏหมาย คือทำให้ถูกต้องตามกฏหมายของบ้านเมือง
> ๒.ไม่ผิดประเพณี คือแบบแผนที่ปฏิบัติกันมาแต่เดิม ควรดำเนินตาม
> ๓.ไม่ผิดศีล คือข้อห้ามที่บัญญัติไว้ในศีล ๕
> ๔.ไม่ผิดธรรม คือหลักธรรมทั้งหลายอาทิเช่น การพนัน การหลอกลวง
> ส่วนอาชีพต้องห้ามสำหรับพุทธศาสนิกชนได้แก่
> ๑.การค้าอาวุธ
> ๒.การค้ามนุษย์
> ๓.การค้ายาพิษ
> ๔.การค้ายาเสพย์ติด
> ๕.การค้าสัตว์เพื่อนำไปฆ่า
> ๑๙.ละเว้นจากบาป
> บาปคือสิ่งที่ไม่ดี เสีย ความชั่วที่ติดตัว ซึ่งไม่ควรทำ
> ท่านว่าสิ่งที่ทำแล้วถือว่าเป็นบาปได้แก่ อกุศลกรรมบถ ๑๐ คือ
> ๑.ฆ่าสัตว์
> ๒.ลักทรัพย์
> ๓.ประพฤติผิดในกาม
> ๔.พูดเท็จ
> ๕.พูดส่อเสียด
> ๖.พูดคำหยาบ
> ๗.พูดเพ้อเจ้อ
> ๘.โลภอยากได้ของเขา
> ๙.คิดพยาบาทปองร้ายคนอื่น
> ๑๐.เห็นผิดเป็นชอบ
> ๒๐.สำรวมจากการดื่มน้ำเมา
> ว่าด้วยเรื่องของน้ำเมานั้น อาจทำมาจากแป้ง ข้าวสุก การปรุงโดยผสมเชื้อ
> หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ดื่มแล้วทำให้มึนเมา เช่นเบียร์ ไวน์
> ไม่ใช่แค่เหล้าเท่านั้น ล้วนมีโทษอันได้แก่
> ๑.ทำให้เสียทรัพย์
> เพราะต้องนำเงินไปซื้อหาทั้งๆที่เงินจำนวนเดียวกันนี้สามารถนำเอาไปใช้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างอื่นได้มากกว่า
> ๒.ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาท ซึ่งนำไปสู่ความวุ่นวาย เจ็บตัว
> หรือถึงแก่ชีวิต และคดีความ เพราะน้ำเมาทำให้ขาดการยับยั้งชั่งใจ
> ๓.ทำให้เกิดโรค โรคที่เกิดเนื่องมาจากการดื่มสุราล้วนแล้วแต่บั่นทอนสุขภาพกายจนถึงตายได้เช่น
> โรคตับแข็ง โรคหัวใจ โรคความดัน
> ๔.ทำให้เสียชื่อเสียง เมื่อคนเมาไปทำเรื่องไม่ดีเข้าเช่นไปลวนลามสตรี
> ปล่อยตัวปล่อยใจ ก็ทำให้วงศ์ตระกูล และหน้าที่การงานเสื่อมเสีย
> ๕.ทำให้ลืมตัวไม่รู้จักอาย คนเมาทำสิ่งที่ไม่ควรทำ
> ทำสิ่งที่คนมีสติจะไม่ทำ เช่นแก้ผ้าเดิน หรือนอนในที่สาธารณะเป็นต้น
> ๖.ทอนกำลังปัญญา ทานแล้วทำให้เซลล์สมองเริ่มเสื่อมลง
> ก็จะทำให้สุขภาพและปัญญาเสื่อมถอย ความสามารถโดยรวมก็ด้อยลง
> ๒๑.ไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย
> ธรรมในที่นี้ก็คือหลักปฏิบัติที่ทำแล้วมีผลในทางดีและเป็นจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงโปรดแนะทางไว้
> คนที่ประมาทในธรรมนั้นมีลักษณะที่สรุปได้ดังนี้คือ
> ๑.ไม่ทำเหตุดี แต่จะเอาผลดี
> ๒.ทำตัวเลว แต่จะเอาผลดี
> ๓.ทำย่อหย่อน แต่จะเอาผลมาก
> สิ่งที่ไม่ควรประมาทได้แก่
> ๑.การประมาทในเวลา
> คือการปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปโดยไม่ทำอะไรให้เกิดประโยชน์
> หรือผลัดวันประกันพรุ่งเป็นต้น
> ๒.การประมาทในวัย คือคิดว่าอายุยังน้อย
> ไม่ต้องทำความเพียรก็ได้เพราะยังต้องมีชีวิตอยู่อีกนานเป็นต้น
> ๓.การประมาทในความไม่มีโรค คือคิดว่าตัวเองแข็งแรงไม่ตายง่ายๆ
> ก็ปล่อยปละละเลยเป็นต้น
> ๔.การประมาทในชีวิต คือการไม่กำหนดวางแผนถึงอนาคต
> คิดอยู่แต่ว่ายังมีชีวิตอยู่อีกนานเป็นต้น
> ๕.การประมาทในการงาน คือไม่ขยันตั้งใจทำให้สำเร็จ ปล่อยตามเรื่องตามราว
> หรือปล่อยให้ดินพอกหางหมูเป็นต้น
> ๖.การประมาทในการศึกษา คือการไม่คิดศึกษาเล่าเรียนในวัยที่ควรเรียน
> หรือขาดความเอาใจใส่ที่เพียงพอ
> ๗.การประมาทในการปฏิบัติธรรม
> คือการไม่ปฏิบัติสมาธิภาวนาหรือศึกษาหลักธรรมให้ถ่องแท้
> เพราะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวเป็นต้น
> ๒๒.มีความเคารพ
> ท่านได้กล่าวว่าสิ่งที่ควรเคารพมีอยู่ดังนี้
> ๑.พระพุทธเจ้า
> ๒.พระธรรม
> ๓.พระสงฆ์
> ๔.การศึกษา
> ๕.ความไม่ประมาท คือการดำเนินตามหลักธรรมคำสอนพระพุทธศาสนาอื่นๆ ด้วยความเคารพ
> ๖.การสนทนาปราศรัย คือการต้อนรับอาคันตุกะผู้มาเยือนด้วยความเคารพ
> ๒๓.มีความถ่อมตน
> ความอ่อนน้อมถ่อมตน คือ
> การไม่แสดงออกถึงความสามารถที่ตัวเองมีอยู่ให้ผู้อื่นทราบเพื่อข่มผู้อื่น
> หรือเพื่อโอ้อวด การไม่อวดดี เย่อหยิ่งจองหอง แต่แสดงตนอย่างสงบเสงี่ยม
> ท่านว่าไว้ว่าโทษของการอวดดีนั้นมีอยู่ดังนี้คือ
> ๑.ทำให้เสียคน คือไม่สามารถกลับมาอยู่ในร่องในรอยได้เหมือนเดิม เสียอนาคต
> ๒.ทำให้เสียมิตร คือไม่มีใครคบหาเป็นเพื่อนด้วย ถึงจะมีก็ไม่ใช่เพื่อนแท้
> ๓.ทำให้เสียหมู่คณะ คือถ้าต่างคนต่างถือดี ก็ทำให้ไม่สามารถตกลงกันได้
> ในที่สุดก็ไม่ถึงจุดหมาย หรือทำให้เป็นที่เบื่อหน่ายของคนอื่น
>
> การทำตัวให้เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนนั้นมีหลักดังนี้คือ
> ๑.ต้องคบกัลยาณมิตร คือเพื่อนที่ดีมีศีลมีธรรม
> คอยตักเตือนหรือชักนำไปในทางที่ดีที่ถูกที่ควร
> ๒.ต้องรู้จักคิดไตร่ตรอง
> คือการรู้จักคิดหาเหตุผลอยู่ตลอดถึงความเป็นไปในธรรมชาติของมนุษย์
> ต่างคนย่อมต่างจิตต่างใจ และรวมทั้งหลักธรรมอื่นๆ
> ๓.ต้องมีความสามัคคี คือการมีความสามัคคีในหมู่คณะ อะลุ่มอล่วยในหลักการ
> ตักเตือน รับฟังและเคารพความคิดเห็นของผู้อื่นอย่างมีเหตุผล
>
> ท่านว่าลักษณะของคนถ่อมตนนั้นมีดังนี้
> ๑.มีกิริยาที่นอบน้อม
> ๒.มีวาจาที่อ่อนหวาน
> ๓.มีจิตใจที่อ่อนโยน
> สรุปแล้วก็คือ สมบูรณ์พร้อมด้วยกาย วาจา และใจนั่นเอง
> ๒๔.มีความสันโดษ
> คำว่าสันโดษไม่ได้หมายถึงการอยู่ลำพังคนเดียวอย่างเดียวก็หาไม่
> แต่หมายถึงการพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ ในของของตัว
> ซึ่งท่านได้ให้นิยามที่เป็นลักษณะของความสันโดษเป็นดังนี้ คือ
> ๑.ยถาลาภสันโดษ หมายถึงความยินดีตามมีตามเกิด คือมีแค่ไหนก็พอใจเท่านั้น
> เป็นอยู่อย่างไรก็ควรจะพอใจ ไม่คิดน้อยเนื้อต่ำใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่
> ๒.ยถาพลสันโดษ หมายถึงความยินดีตามกำลัง เรามีกำลังแค่ไหนก็พอใจเท่านั้น
> ตั้งแต่กำลังกาย กำลังทรัพย์ กำลังบารมี หรือกำลังความสามารถเป็นต้น
> ๓.ยถาสารูปสันโดษ หมายถึงความยินดีตามควร
> ซึ่งโยงใยไปถึงความพอเหมาะพอควรในหลายๆเรื่อง เช่นรูปลักษณ์ของตนเอง
> และรวมทั้งฐานะที่เราเป็นอยู่
> ๒๕.มีความกตัญญู
> คือการรู้คุณ และตอบแทนท่านผู้นั้น
> บุญคุณที่ว่านี้มิใช่ว่าตอบแทนกันแล้วก็หายกัน
> แต่หมายถึงการรำลึกถึงพระคุณที่เคยให้ความอุปการะแก่เราด้วยความเคารพยิ่ง
> ท่านว่าสิ่งของหรือผู้ที่ควรกตัญญูนั้นมีดังนี้
> ๑.กตัญญูต่อบุคคล
> บุคคลที่ควรกตัญญูก็คือใครก็ตามที่มีบุญคุณควรระลึกถึงและตอบแทนพระคุณ
> เช่น บิดา มารดา อาจารย์เป็นต้น
> ๒.กตัญญูต่อสัตว์ ได้แก่สัตว์ที่มีคุณต่อเราช่วยทำงานให้เรา
> เราก็ควรเลี้ยงดูให้ดีเช่นช้าง ม้า วัว ควาย
> หรือสุนัขที่ช่วยเฝ้าบ้านเป็นต้น
> ๓.กตัญญูต่อสิ่งของ ได้แก่สิ่งของทุกอย่างที่มีคุณต่อเราเช่น
> หนังสือที่ให้ความรู้แก่เรา อุปกรณ์ทำมาหากินต่างๆ เราไม่ควรทิ้งคว้าง
> หรือทำลายโดยไม่เห็นคุณค่า
> ๒๖.การฟังธรรมตามกาล
> เมื่อมีโอกาส เวลา หรือตามวันสำคัญต่างๆ
> ก็ควรต้องไปฟังธรรมบ้างเพื่อสดับตรับฟังสิ่งที่เป็นประโยชน์ในหลักธรรมนั้นๆ
> และนำมาใช้กับชีวิตเราเพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้น
> ท่านว่าเวลาที่ควรไปฟังธรรมนั้นมีดังนี้คือ
> ๑.วันธรรมสวนะ ก็คือวันพระ หรือวันที่สำคัญทางศาสนา
> ๒.เมื่อมีผู้มาแสดงธรรม ก็อย่างเช่น การฟังธรรมตามวิทยุ
> การที่มีพระมาแสดงธรรมตามสถานที่ต่างๆ หรือการอ่านจากสื่อต่างๆ
> ๓.เมื่อมีโอกาสอันสมควร อาทิเช่นในวันอาทิตย์เมื่อมีเวลาว่าง
> หรือในงานมงคล งานบวช งานกฐิน งานวัดเป็นต้น
> คุณสมบัติของผู้ฟังธรรมที่ดีควรต้องมีดังนี้คือ
> ๑.ไม่ดูแคลนในหัวข้อธรรมว่าง่ายเกินไป
> ๒.ไม่ดูแคลนในความรู้ความสามารถของผู้แสดงธรรม
> ๓.ไม่ดูแคลนในตัวเองว่าโง่ ไม่สามารถเข้าใจได้
> ๔.มีความตั้งใจในการฟังธรรม และนำไปพิจารณา
> ๕.นำเอาธรรมนั้นๆไปปฏิบัติให้เกิดผล
> ๒๗.มีความอดทน
> ท่านว่าลักษณะของความอดทนนั้นสามารถจำแนกออกได้เป็นดังต่อไปนี้คือ
> ๑.ความอดทนต่อความลำบาก คือความลำบากที่ต้องประสพตามธรรมชาติ
> ซึ่งอาจมาจากสภาพแวดล้อมเป็นต้น
> ๒.ความอดทนต่อทุกขเวทนา คือทุกข์ที่เกิดจากสังขารของเราเอง
> เช่นความไม่สบายกายเป็นต้น
> ๓.ความอดทนต่อความเจ็บใจ คือการที่คนอื่นทำให้เราต้องผิดหวัง
> หรือพูดจาให้เจ็บช้ำใจ ไม่เป็นอย่างที่หวังเป็นต้น
> ๔.ความอดทนต่ออำนาจกิเลส
> คือสิ่งยั่วยวนทั้งหลายถือเป็นกิเลสทั้งทางใจและทางกายอาทิเช่น
> ความนึกโลภอยากได้ของเขา หรือการพ่ายแพ้ต่ออำนาจเงินเป็นต้น
> วิธีทำให้มีความอดทนคือ มีหิริโอตัปปะ
> ๑.หิริ ได้แก่การมีความละอายต่อบาป
> การที่รู้ว่าเป็นบาปแล้วยังทำอีกก็ถือว่าไม่มีความละอายเลย
> ๒.โอตัปปะ ได้แก่การมีความเกรงกลัวในผลของบาปนั้นๆ
> ๒๘.เป็นผู้ว่าง่าย
> ท่านว่าผู้ว่าง่ายนั้นมีลักษณะที่สังเกตได้ดังนี้คือ
> ๑.ไม่พูดกลบเกลื่อนเมื่อได้รับการว่ากล่าวตักเตือน คือการรับฟังด้วยดี
> ไม่ใช่แก้ตัวแล้วปิดประตูความคิดไม่รับฟัง
> ๒.ไม่นิ่งเฉยเมื่อได้รับการเตือน
> คือการนำคำตักเตือนนั้นมาพิจารณาและแก้ไขข้อบกพร่องนั้นๆ
> ๓.ไม่จับผิดผู้ว่ากล่าวสั่งสอน คือการที่ผู้สอนอาจจะมีความผิดพลาด
> เนื่องจากความประมาท เราควรให้อภัยต่อผู้สอน
> เพราะการจับผิดทำให้ผู้สอนต้องอับอายขายหน้าได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดีงาม
> ๔.เคารพต่อคำสอนและผู้สอน คือการรู้จักสัมมาคารวะต่อผู้ทำให้คำสอน
> และเคารพในสิ่งที่ผู้สอนได้นำมาแนะนำ
> ๕.มีความอ่อนน้อมถ่อมตน คือไม่แสดงความยะโส
> ถือตัวว่าอยู่เหนือผู้อื่นเพราะสิ่งที่ตัวเองเป็นตัวเองมี
> ๖.มีความยินดีต่อคำสอนนั้น คือยอมรับในคำสอนนั้นๆ
> ด้วยความยินดีเช่นการไม่แสดงความเบื่อหน่ายเพราะเคยฟังมาแล้ว เป็นต้น
> ๗.ไม่ดื้อรั้น คือการไม่อวดดี
> คิดว่าของตัวเองนั้นผิดแต่ก็ยังดันทุรังทำต่อไปเพราะกลัวเสียชื่อ
> เสียฟอร์ม
> ๘.ไม่ขัดแย้ง เพราะว่าการว่ากล่าวตักเตือนหรือสั่งสอนนั้นก็คือ
> สิ่งที่ตรงข้ามกับที่เราทำอยู่แล้ว
> เราควรต้องเปิดใจให้กว้างไม่ขัดแย้งต่อคำสอน คำวิจารณ์นั้นๆ
> ๙.ยินดีให้ตักเตือนได้ทุกเวลา
> คือการยินดีให้มีการแสดงความคิดเห็นตักเตือนได้โดยไม่มีข้อยกเว้นเรื่องเวลา
> ๑๐.มีความอดทนต่อการเป็นผู้ถูกสั่งสอน
> คือการไม่เอาความขัดแย้งในความเห็นเป็นอารมณ์
> แต่ให้เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของผู้สอนนั้น
> การทำให้เป็นคนว่าง่ายนั้นทำได้ดังนี้
> ๑.ลดมานะของตัว คือการไม่ถือดี ไม่ถือตัว
> ความไม่สำคัญตัวเองว่าเป็นอย่างโน้นอย่างนี้
> อาทิเช่นถือตัวว่าการศึกษาดีกว่าเป็นต้น
> ๒.ละอุปาทาน คือการไม่ยึดถือในสิ่งที่เรามี เราเป็น หรือถือมั่นในอำนาจกิเลสต่างๆ
> ๓.มีสัมมาทิฏฐิ คือมีปัญญาที่เห็นชอบ การเห็นถูกเห็นควรตามหลักอริยสัจ ๔
> เชื่อเรื่องความไม่เที่ยง เชื่อในเรื่องบุญเรื่องบาปเป็นต้น
> ๒๙.การได้เห็นสมณะ
> คำว่าสมณะแปลตรงตัวได้ว่า ผู้สงบ (หมายถึงผู้อยู่ในสมณเพศ)
> ท่านว่าคุณสมบัติของสมณะต้องประกอบไปด้วย ๓ อย่างคือ
> ๑.ต้องสงบกาย คือมีความสำรวมในการกระทำทุกอย่าง รวมถึงกิริยา มรรยาท ตามหลักศีลธรรม
> ๒.ต้องสงบวาจา คือการพูดจาให้อยู่ในกรอบของความพอดี
> มีความสุภาพสงบเสงี่ยมในคำพูดและภาษาที่ใช้ เป็นไปตามข้อปฏิบัติ ประเพณี
> ๓.ต้องสงบใจ คือการทำใจให้สงบปราศจากกิเลสครอบงำ ไม่ว่าจะเป็น โลภ โกรธ
> หลง หรือความพยาบาทใดๆ ตั้งมั่นอยู่ในสมาธิภาวนา
> การได้เห็นสมณะมีอยู่ดังนี้คือ
> ๑.เห็นด้วยตา ความหมายก็ตรงตัวคือการเห็นจากการสัมผัสด้วยสายตาของตนเอง
> แล้วมีความประทับใจในความสำรวมในกาย
> ๒.เห็นด้วยใจ เนื่องจากความสำรวมกาย วาจา
> ใจของสมณะจะช่วยโนัมน้าวจิตใจของเราให้โอนอ่อนผ่อนตาม
> และรับฟังหลักคำสอนด้วยใจที่ยินดี
> ซึ่งนั่นก็หมายถึงการเปิดใจเราให้สมณะได้ชี้นำนั่นเอง
> ๓.เห็นด้วยปัญญา หมายความถึงการรู้โดยการใช้ปัญญาใคร่ครวญ
> พิจารณาในการสัมผัสและเข้าถึงและรับรู้ถึงคำสอนของสมณะผู้นั้น
> และรู้ว่าท่านเป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรมอย่างแท้จริง
>
> เมื่อเห็นแล้วก็ต้องทำอย่างนี้คือ
> ๑.ต้องเข้าไปหา คือเข้าไปขอคำแนะนำ ชี้แนะจากท่าน หรือให้ความเคารพท่าน
> ๒.ต้องเข้าไปบำรุงช่วยเหลือ คือการช่วยเหลือท่านในโอกาสอันควร
> เพื่อแบ่งเบาภาระของท่าน
> ๓.ต้องเข้าไปฟัง คือการรับฟังคุณธรรม
> หลักคำสอนของท่านมาไว้เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาชีวิต
> ๔.หมั่นระลึกถึงท่าน
> คือการระลึกถึงความดีที่ท่านมีแล้วนำมาเป็นตัวอย่างกับตัวเราเอง
> ๕.รับฟังรับปฏิบัติ คือการรับคำแนะนำของท่านมาปฏิบัติทำตามเพื่อให้เกิดผล
> ครั้นเมื่อติดขัดก็ใคร่แก้ไขเพื่อให้รู้จริงเห็นจริงตามนั้น
> ๓๐.การสนทนาธรรมตามกาล
> การได้สนทนากันเรื่องธรรม ทำให้ขยายขอบเขตการเรียนรู้ แลกเปลี่ยนความรู้
> และได้รู้ในสิ่งใหม่ๆ ที่เราอาจนึกไม่ถึง
> หรือเป็นการเผื่อแผ่ความรู้ที่เรามีให้แก่ผู้อื่นได้ทราบด้วย
> ก่อนที่เราจะสนทนาธรรม ควรต้องพิจารณาและคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้คือ
> ๑.ต้องรู้เรื่องที่จะพูดดี
> ๒.ต้องพูดเรื่องจริง มีประโยชน์
> ๓.ต้องเป็นคำพูดที่ไพเราะ
> ๔.ต้องพูดด้วยความเมตตา
> ๕.ต้องพูดจาโอ้อวด ยกตนข่มท่าน
> ข้อปฏิบัติเมื่อมีการสนทนาธรรม
> ๑.มีศีลธรรม คือการเป็นผู้ที่รักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ เป็นนิจศีลอยู่แล้ว
> การเป็นผู้ปฏิบัติถือเป็นหน้าที่ขั้นต้นในการเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี
> ๒.มีสมาธิดี คือการมีจิตใจจดจ่ออยู่กับเรื่องที่สนทนา ไม่วอกแวก
> พร้อมทั้งเป็นผู้ที่หมั่นเจริญสมาธิภาวนาด้วย
> ๓.แต่งการสุภาพ คือการแต่งตัวให้เหมาะสมกับยุคสมัย
> อยู่ในกรอบประเพณีของสังคมแวดล้อม ณ ที่นั้นๆ ถูกกาลเทศะ
> ๔.มีกิริยาสุภาพ คือมีความสุภาพในท่วงท่าไม่ว่าจะเดิน นั่ง ยืน
> หรือการกระทำใดๆ การที่มีกิริยางดงาม
> สุภาพย่อมโน้มน้าวจิตใจผู้พบเห็นให้เกิดความประทับใจที่ดี
> ๕.ใช้วาจาสุภาพ คือการใช้ถ้อยคำที่สุภาพในการสนทนา ไม่ใช้คำหยาบคาย หรือก้าวร้าว
> ๖.ไม่กล่าวค้านพระพุทธพจน์
> คือการไม่นำเอาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาเป็นข้อสงสัย หรือกล่าวค้าน
> เพราะสิ่งที่กล่าวไว้ในพระพุทธพจน์ย่อมเป็นความจริงตลอดกาล
> ๗.ไม่ออกนอกประเด็นที่ตั้งไว้ คือการพูดให้อยู่ในหัวข้อที่ตั้งไว้
> ไม่พูดแบบน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง
> ๘.ไม่พูดนานจนน่าเบื่อ คือการเลือกเวลาที่เหมาะสมตามสถานการณ์
> เนื่องจากเรื่องบางเรื่องอาจไม่จำเป็นต้อ
> ๓๑.การบำเพ็ญตบะ
> ตบะ โดยความหมายแปลว่า ทำให้ร้อน ไม่ว่าด้วยวิธีใด
> การบำเพ็ญตบะหมายความถึงการทำให้กิเลส ความรุ่มร้อนต่างๆ หมดไป
> หรือเบาบางลง ลักษณะการบำเพ็ญตบะมีดังนี้
> ๑.การมีใจสำรวมในอินทรีย์ทั้ง ๖ (อายตนะภายใน ๖ อย่าง) ได้แก่ ตา หู จมูก
> ลิ้น กาย และใจ ไม่ให้หลงติดอยู่กับสัมผัสภายนอกมากเกินไป
> ไม่ให้กิเลสครอบงำใจเวลาที่รับรู้อารมณ์ผ่านอินทรีย์ทั้ง ๖
> (อินทรีย์สังวร)
> ๒.การประพฤติรักษาพรหมจรรย์ เว้นจากการร่วมประเวณี หรือกามกิจทั้งปวง
> ๓.การปฏิบัติธรรม คือการรู้และเข้าใจในหลักธรรมเช่นอริยสัจ เป็นต้น
> ปฏิบัติตนให้อยู่ในศีล และถึงพร้อมด้วยสมาธิ และปัญญา
> โดยมีจุดหมายสูงสุดที่พระนิพพาน กำจัดกิเลส
> ละวางทุกสิ่งได้หมดสิ้นด้วยปัญญา
> ๓๒.การประพฤติพรหมจรรย์
> คำว่าพรหมจรรย์หมายความถึง การบวชซึ่งละเว้นเมถุน
> การครองชีวิตที่ปราศจากเมถุน การประพฤติธรรมอันประเสริฐ
> ท่านว่าลักษณะของธรรมที่ถือว่าเป็นการประพฤติพรหมจรรย์นั้น
> (ไม่ใช่ว่าต้องบวชเป็นพระ) มีอยู่ดังนี้คือ
> ๑.ให้ทาน บริจาคทานไม่ว่าจะเป็นทรัพย์ สิ่งของ เงินทอง หรือปัญญา
> ๒.ช่วยเหลือผู้อื่นในกิจการงานที่ชอบ ที่ถูกที่ควร (เวยยาวัจจมัย)
> ๓.รักษาศีล ๕ คือไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักขโมย ไม่ทำผิดในกาม ไม่พูดปด
> ไม่ดื่มน้ำเมา (เบญจศีล)
> ๔.มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขากับคนที่เราต้องพบปะด้วยทุกคน (อัปปมัญญา)
> ๕.งดเว้นจากการเสพกาม (เมถุนวิรัติ)
> ๖.ยินดีในคู่ของตน คือการมีสามีหรือภรรยาคนเดียว (สทารสันโดษ)
> ๗.เพียรพยายามที่จะละความชั่ว ไม่ท้อถอยในความบากบั่น (วิริยะ)
> ๘.รักษาซึ่งศีล ๘ คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักขโมย ไม่ร่วมประเวณี ไม่พูดปด
> ไม่ดื่มน้ำเมา ไม่บริโภคอาหารตั้งแต่เที่ยงวันเป็นต้นไป ไม่ฟ้อนรำ
> ขับร้อง บรรเลงดนตรี ดูการละเล่น ใช้ของหอมหรือเครื่องประดับ
> ไม่นอนบนที่สูงใหญ่ หรูหรา (อุโบสถ)
> ๙.ใช้ปัญญาเห็นแจ้งใน ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค (อริยธรรม)
> ๑๐.ศึกษาปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา ให้รู้แจ้งเห็นจริง (สิกขา)
> *ขออธิบายเพิ่มเติมว่าข้อ ๕ ที่บอกว่าให้งดเว้นการเสพกาม แต่ข้อ ๖
> ให้ยินดีในคู่ของตนนั้น เพราะว่าการประพฤติพรหมจรรย์ในที่นี้หมายถึง
> บุคคลทั่วไปที่อาจมีครอบครัวแล้ว
> ก็ประพฤติพรหมจรรย์ได้โดยการงดเว้นการร่วมประเวณี เช่นในวันสำคัญๆเป็นต้น
> ๓๓.การเห็นอริยสัจ
> อริยสัจ หมายถึงความจริงอันประเสริฐ หลักแห่งอริยสัจมีอยู่ ๔
> ประการตามที่ท่านได้สั่งสอนไว้มีดังนี้
> ๑.ทุกข์ คือความไม่สบายกายไม่สบายใจ
> ความเป็นจริงของสัตว์โลกทุกผู้ทุกนามต้องมีทุกข์ ๓ ประการคือ การเกิด
> ความแก่ ความตาย นอกจากนี้ก็มีความทุกข์ที่เป็นอาการ
> หรือเกิดจากสภาพแวดล้อมสรุปได้ดังนี้คือ
> -ความโศกเศร้า (โสกะ)
> -ความรำพันด้วยความเสียใจ (ปริเทวะ)
> -ความเจ็บไข้ได้ป่วย (ทุกขะ)
> -ความเสียใจ (โทมนัสสะ)
> -ความท้อแท้ สิ้นหวัง คับแค้นใจ (อุปายาสะ)
> -การตรอมใจ ผิดหวังจากสิ่งที่ไม่รัก (อัปปิเยหิ สัมปโยคะ)
> -การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก (ปิเยหิ วิปปโยคะ)
> -ความหม่นหมองเมื่อปรารถนาแล้วไม่ได้สิ่งนั้น (ยัมปิจฉัง นลภติ)
> ๒.สมุทัย คือเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์
> นอกจากเหตุแห่งทุกข์ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
> ต้นตอของทุกข์ก็อยู่ที่ใจของเราด้วยนั่นก็คือความอยาก ท่านว่าเป็นตัณหา ๓
> อย่าง ซึ่งแบ่งออกได้เป็นดังนี้คือ
> -ความอยากได้ หมายรวมถึงอยากทุกอย่างที่นำมาสนองสัมผัสทั้ง ๕ และกามารมณ์
> (กามตัณหา)
> -ความอยากเป็น คือความอยากเป็นโน่นเป็นนี่ (ภวตัณหา)
> -ความไม่อยากเป็น คือความไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ (วิภวตัณหา)
> ๓.นิโรธ คือความดับทุกข์ ภาวะที่ตัณหาดับสิ้นไป ความหลุดพ้น
> หรือหมายถึงภาวะของพระนิพพานนั่นเอง
> ๔.มรรค คือข้อปฏิบัติ หรือหนทางที่นำไปสู่การดับทุกข์
> การเดินทางสายกลางเพื่อไปให้ถึงการดับทุกข์ คือ มรรคมี ๘ ประการ คือ
> -ความเห็นชอบ เช่นความศรัทธาในเบื้องต้นต่อหลักธรรม คำสอน
> เช่นการเชื่อว่ากรรมดีกรรมชั่วมีจริงเป็นต้น (สัมมาทิฏฐิ)
> -ความดำริชอบ หรือความคิดชอบ มีความคิดที่ถูกต้องตามหลักธรรม
> เช่นการใช้ปัญญาพิจารณาความไม่เที่ยงของสังขาร
> หรือการไม่คิดอยากได้ของเขามาเป็นของเราเป็นต้น (สัมมาสังกัปปะ)
> -เจรจาชอบ คือการปฏิบัติตามหลักธรรม ไม่พูดโกหก ไม่พูดส่อเสียด
> ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อเป็นต้น (สัมมาวาจา)
> -ทำการชอบ หรือการมีการกระทำที่ไม่ผิดหลักศีลธรรม เช่นไม่ฆ่าสัตว์
> ไม่ลักทรัพย์เป็นต้น (สัมมากัมมันตะ)
> -เลี้ยงชีพชอบ คือการทำมาหากินในทางที่ถูก
> ไม่เบียดเบียนหรือทำความเดือดร้อนให้กับสัตว์หรือผู้อื่น
> อยู่ในหลักธรรมที่กำหนด เช่น ไม่มีอาชีพค้ามนุษย์
> หรืออาชีพค้าอาวุธเป็นต้น (สัมมาอาชีวะ)
> -ความเพียรชอบ คือการหมั่นทำนุบำรุงในสิ่งที่ถูกต้อง
> อาทิเช่นการพยายามละกิเลสออกจากใจ หรือการพยายามสำรวม กาย วาจา
> ใจให้ดำเนินตามหลักธรรมของท่านเป็นต้น (สัมมาวายามะ)
> -ความระลึกชอบ คือมีสติตั้งมั่นในสิ่งที่ถูกต้องตามหลักธรรม
> เช่นการพึงระลึกถึงความตายที่ต้องเกิดกับทุกคนเป็นต้น (สัมมาสติ)
> -จิตตั้งมั่นชอบ คือมีจิตที่มีสมาธิ ไม่วอกแวกหรือคิดฟุ้งซ่าน
> และการทำสมาธิภาวนาตามหลักการที่ท่านได้บัญญัติแนะนำเอาไว้ (สัมมาสมาธิ)
> ๓๔.การทำให้แจ้งในพระนิพพาน
> นิพพาน คือ ภาวะของจิตที่ดับกิเลสได้หมดสิ้น หลุดจากอำนาจกรรม
> และไม่ต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏอีก ซึ่งก็คือพ้นจากทุกข์นั่นเอง
> ท่านว่าลักษณะของนิพพานมีอยู่ ๒ ระดับดังนี้คือ
> ๑.การดับกิเลสขณะที่ยังมีเบญจขันธ์เหลืออยู่
> หรือการเข้าถึงนิพพานขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ -สอุปาทิเสสนิพพาน
> ๒.การดับกิเลสที่ไม่มีเบญจขันธ์เหลืออยู่เลย
> คือการที่ร่างกายเราแตกดับแล้วไปเสวยสุขอันเป็นอมตะในพระนิพพาน
> (ตรงนี้ไม่สามารถอธิบายให้กระจ่างมากไปกว่านี้ได้) -อนุปาทิเสสนิพพาน
> การที่จะเข้าถึงพระนิพพานได้ ก็ต้องปฏิบัติธรรมและเจริญสมาธิภาวนาจนถึงขั้นสูงสุด
> ๓๕.มีจิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม
> คำว่าโลกธรรม มีความหมายถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำบนโลกนี้
> ซึ่งเราไม่ควรมีจิดหวั่นไหวต่อสิ่งต่างๆ เหล่านี้
> ท่านว่าลักษณะของโลกธรรมมี ๔ ประการคือ
> ๑.การได้ลาภ เมื่อมีลาภผลก็ย่อมมีความเสื่อมเป็นธรรมดา
> มีแล้วก็ย่อมหมดไปได้ เป็นแค่ความสุขชั่วคราวเท่านั้น
> ๒.การได้ยศ ยศฐาบรรดาศักดิ์ล้วนเป็นสิ่งสมมุติขึ้นมาทั้งนั้น
> เป็นสิ่งที่คนยอมรับกันว่าเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ พอหมดยศก็หมดบารมี
> ๓.การได้รับการสรรเสริญ ที่ใดมีคนนิยมชมชอบ
> ที่นั่นก็ย่อมต้องมีคนเกลียดชังเป็นเรื่องธรรมดา
> การถูกนินทาจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติ
> ๔.การได้รับความสุข ที่ใดมีสุขที่นั่นก็จะมีทุกข์ด้วย
> มีความสุขแล้วก็อย่าหลงระเริงไปจนลืมนึกถึงความทุกข์ที่แฝงมาด้วย
> การทำให้จิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม มีวิธีดังนี้คือ
> ๑.ใช้ปัญญาพิจารณา โดยตั้งอยู่ในหลักธรรมของพระพุทธศาสนา
> พิจารณาอยู่เนืองๆ ถึงหลักธรรมต่างๆ
> ๒.เจริญสมาธิภาวนา
> ใช้กรรมฐานพิจารณาถึงความเป็นไปในความไม่เที่ยงในสรรพสิ่งทั้งหลายในโลก
> และสังขาร
> ๓๖.มีจิตไม่โศกเศร้า
> ท่านว่ามีเหตุอยู่ ๒ ประการที่ทำให้จิตเราต้องโศกเศร้าคือ
> ๑.ความโศกเศร้าที่เกิดเนื่องมาจากความรัก รวมถึงรักสิ่งของ ทรัพย์สินเงินทองด้วย
> ๒.ความโศกเศร้าที่เกิดจากความใคร่
> การทำให้จิตใจไม่โศกเศร้านั้น มีข้อแนะนำดังนี้
> ๑.ใช้ปัญญาพิจารณาอยู่เนืองๆ ถึงความไม่เที่ยงในสิ่งของทั้งหลาย และร่างกายของเรา
> ๒.ไม่ยึดมั่นในตัวตน หรือความจีรังยั่งยืน ในคนหรือสิ่งของว่าเป็นของเรา
> ๓.ทุกอย่างในโลกล้วนเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ
> แม้ร่างกายเราก็ใช้เป็นที่อาศัยชั่วคราวเท่านั้น
> ๔.คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่เที่ยงด้วยกันทั้งนั้น
> ๓๗.มีจิตปราศจากกิเลส
> กิเลส ก็คือสิ่งที่ทำให้เกิดความเศร้าหมอง ซึ่งได้แก่ ความโลภ ความโกรธ
> ความหลง ท่านได้แบ่งประเภทของกิเลสออกเป็นดังนี้ คือ
> ๑.ราคะ สามารถแบ่งย่อยออกได้เป็น
> -ความโลภอย่างแรงจนแสดงออกมา เช่นการลักขโมย ปล้น จี้ ข่มขืนกระทำชำเรา
> เป็นต้น (อภิชฌาวิสมโลภะ)
> -ความเพ่งเล็งจะเอาของคนอื่นมาเป็นของตัว
> มีใจอยากได้ของคนอื่นแต่ยังไม่ถึงกับแสดงออก (อภิชฌา)
> -ความอยากได้ในทางไม่ชอบ เช่นการยอมรับสินบน
> การทุจริตเพื่อแลกกับการมีทรัพย์เป็นต้น (ปาปิจฉา)
> -ความมักมากเห็นแก่ได้ ด้วยการเอามาเป็นของตนจนเกินพอดี
> เอาประโยชน์ใส่ตัวโดยไม่คำนึงถึงคนอื่น (มหิจฉา)
> -ความยินดีในกาม ก็คือยังไม่สามารถละกิจกรรมทางเพศได้ ยังมีความรู้สึก
> มีแรงกระตุ้น มีความพอใจในเรื่องเพศ (กามระคะ)
> -ความยินดีในรูปธรรมอันประณีต ก็คือติดอยู่ในอารมณ์ของรูปฌาณ
> ปรารถนาในรูปของภพเมื่อทำสมาธิขั้นสูงขึ้นไป (รูปราคะ)
> -ความยินดีในอรูปฌาณ
> ก็คือติดอยู่ในอารมณ์ของอรูปฌาณเมื่อทำสมาธิถึงภพของอรูปพรหม (อรูปราคะ)
> ๒.โทสะ สามารถแบ่งย่อยออกได้เป็น
> -พยาบาท คือการผูกใจอาฆาต มีใจที่ไม่หวังดี การจองเวร
> -โทสะ คือการคิดประทุษร้าย เนื่องด้วยมีใจพยาบาทแล้วก็มีใจคิดหมายทำร้าย
> -โกธะ คือความโกรธ ความเดือดร้อนใจ ซึ่งล้วนเป็นเหมือนไฟที่เผาตัวเอง
> -ปฏิฆะ คือความขัดใจ ความไม่พอใจอันทำให้อารมณ์หงุดหงิด
> ๓.โมหะ สามารถแบ่งย่อยออกได้เป็น
> -ความเห็นผิดเป็นชอบ เช่นการไม่เชื่อในเรื่องบาป เรื่องบุญเป็นต้น (มิจฉาทิฐิ)
> -ความหลงผิด ไม่รู้ตามความเป็นจริง (โมหะ)
> -การเห็นว่ามีตัวตน เช่นการเชื่อในสิ่งที่มองเห็นด้วยตาเปล่าเท่านั้น (สังกายทิฏฐิ)
> -ความสงสัย คือสงสัยในพระธรรม
> คำสั่งสอนในเรื่องการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ (วิจิกิจฉา)
> -การยึดถืออย่างงมงาย เช่นการไปกราบไหว้สัมพเวสีที่อยู่ตามต้นไม้
> ขอลาภเป็นต้น (สีลัพพตปรามาส)
> -ความถือตัว คือการสำคัญตัวเองผิดว่าเป็นอย่างโน้นเป็นอย่างนี้ (มานะ)
> -ความฟุ้งซ่าน คือการที่จิตใจว่อกแวก คิดไม่เป็นสาระ
> ไม่อยู่กับร่องกับรอย ไม่มีสมาธิ หรือการทำสมาธิไม่นิ่ง (อุทธัจจะ)
> -ความไม่รู้จริง คือการที่รู้แค่ผิวเผิน หรือการทึกทักเอาเอง
> ไม่ปฏิบัติตามหลักพระธรรม ยังไม่เกิดปัญญา (อวิชชา)
> โทษของการมีกิเลสดังกล่าวข้างต้นพอสรุปได้สั้นๆ ดังนี้คือ
> ๑.ราคะ มีโทษน้อย แต่คลายช้า
> ๒.โทสะ มีโทษมาก แต่คลายเร็ว
> ๓.โมหะ มีโทษมาก แต่คลายช้า
> ๓๘.มีจิตเกษม
> เกษม หมายถึงมีความสุข สบาย หรือสภาพที่มีจิตใจที่เป็นสุข
> มีจิดเกษมก็คือว่ามีจิตที่เป็นสุขในที่นี้หมายถึงการละแล้วซึ่งกิเลส
> ที่ท่านว่าไว้ว่าเป็นเครื่องผูกอยู่ ๔ ประการคือ
> ๑.การละกามโยคะ คือการละความยินดีในวัตถุ
> สิ่งมีชีวิตทั้งหลายเรียกว่ากามคุณซึ่งประกอบด้วย รูป รส กลิ่น เสียง
> และสัมผัส
> ๒.การละภวโยคะ คือการละความยินดีในภพ
> โดยให้เห็นว่าสิ่งใดๆในโลกล้วนไม่เที่ยงแท้ หรือคงอยู่ตลอดไป
> ๓.การละทิฏฐิโยคะ คือการละความยินดีในความเห็นผิดเป็นชอบ
> โดยให้ดำเนินตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าที่กล่าวมาแล้ว
> ๔.การละอวิชชาโยคะ คือการละความยินดีในอวิชชาทั้งหลาย ความไม่รู้ทั้งหลาย
> โดยให้มุ่งปฏิบัติเพื่อปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริง
> จาก ครูพละ (ขอขอบพระคุณท่านที่รวบรวมมาให้เป็นวิทยาทานครับ)

วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554

PROBLEM SOLVING & DECISION MAKING การแก้ปัญหาและการตัดสินใจ ของผู้บริหาร

PROBLEM SOLVING & DECISION MAKING : การแก้ปัญหาและการตัดสินใจ
เรียบเรียง โดย ศาสตราจารย์ ดร.เรวัตร์ ชาตรีวิศิษฏ์
1. การแก้ปัญหาและการตัดสินใจเป็นหน้าที่สำคัญของผู้บริหาร ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อมีความแตกต่างระหว่างสิ่งที่คาดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง การแก้ปัญหาเป็นการนำข้อมูลปัญหาที่เกิดขึ้นในอดีตมาแก้ไขในปัจจุบัน และการตัดสินใจจะเกี่ยวข้องในขั้นตอนการเลือกแนวทางเพื่อแก้ปัญหา โดยขั้นตอนการแก้ปัญหาและการตัดสินใจประกอบด้วย
(1) การจำแนกและกำหนดปัญหา
(2) การวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา
(3) การหาทางเลือกในการแก้ปัญหา และ
(4) การเลือกวิธีแก้ปัญหา

2. การแก้ปัญหาที่ถูกต้องเริ่มจากการหาปัญหา และจำแนกปัญหาที่เกิดขึ้นโดยการรวบรวมข้อมูล ซึ่งปัญหาจำแนกได้ 3 ประเภท คือ
(1) ปัญหาประจำวัน
(2) ปัญหาวิกฤต และ
(3) ปัญหาที่เป็นโอกาส
ขั้นตอนสำคัญต่อมา คือ การกำหนดปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนและถูกต้อง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง

3. เมื่อกำหนดปัญหาที่เกิดขึ้นในสถานที่ทำงานได้ถูกต้องแล้ว ขั้นต่อมาคือ การวิเคราะห์หาสาเหตุที่แท้จริง และเป็นสาเหตุหลักของปัญหาดังกล่าว เครื่องมือสำคัญที่ช่วยในการตรวจหาสาเหตุ คือ ผังก้างปลา ส่วนเครื่องมือที่ช่วยเลือกสาเหตุหลัก คือ แผนภูมิพาเรโต และเครื่องมืออื่นๆ เมื่อได้สาเหตุหลักของปัญหาแล้วจึงนำมากำหนดเป็นวัตถุประสงค์ในการแก้ปัญหาที่ชัดเจนและถูกต้องตามหลักการกำหนดวัตถุประสงค์ที่ดี

4. ในขั้นตอนการหาทางเลือกในการแก้ปัญหา ซึ่งควรหาทางเลือกหลายๆ วิธี และสามารถใช้เทคนิคต่างๆ ช่วยในการหาทางเลือกใหม่ๆ โดยมี 2 แนวทางหลัก คือ การหาทางเลือกด้วยตนเอง โดยการใช้ความคิดสร้างสรรค์ และการหาทางเลือกโดยกลุ่ม ได้แก่ เทคนิคการระดมสมอง กลุ่มนามบัญญัติ และกลุ่มเดลฟาย การใช้เทคนิคเหล่านี้อย่างถูกวิธีจะทำให้ได้ทางเลือกที่หลากหลายและแปลกใหม่

5. ขั้นตอนสุดท้ายของการแก้ปัญหาและการตัดสินใจ คือ การเลือกวิธีแก้ปัญหาที่ดีและเหมาะสมที่สุดจากทางเลือกที่มีอยู่ โดยสามารถใช้เทคนิคการให้คะแนนตามเกณฑ์ หรือเทคนิคอื่นๆ มาช่วยในการเลือกวิธีแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

ความหมายและขั้นตอนการแก้ปัญหาและการตัดสินใจการแก้ปัญหาและการตัดสินใจเป็นหน้าที่สำคัญของผู้บริหาร การตัดสินใจที่ดีและมีคุณภาพของทุกคนในองค์การโดยเฉพาะผู้บริหาร จะมีผลต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลวของหน่วยงานได้ ดังนั้น ความสามารถในการแก้ปัญหาและการตัดสินใจจึงเป็นคุณลักษณะที่สำคัญของทั้งพนักงานและผู้บริหารที่องค์การต้องการ ซึ่งทักษะการแก้ปัญหาและการตัดสินใจเป็นทักษะที่สามารถเรียนรู้ ฝึกฝนและพัฒนาได้

1. ความหมายของปัญหา การแก้ปัญหาและการตัดสินใจปัญหา (Problem) หมายถึง ช่องว่างหรือความแตกต่างระหว่างสภาพการณ์ปัจจุบัน กับ สภาพการณ์ที่เราต้องการให้เกิดขึ้น หรือสิ่งที่เกิดขึ้นไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
การแก้ปัญหา (Problem Solving) หมายถึง กระบวนการในการทำให้เกิดสภาพการณ์ที่เราคาดหวัง อย่างไรก็ตาม มีคนจำนวนไม่น้อยไม่รู้ว่าสิ่งที่คาดหวังคืออะไร รวมถึงบางครั้งก็ไม่สามารถไปถึงสิ่งที่คาดหวังหรือเป้าหมายได้ เพราะไม่มีแนวทางที่ชัดเจนหรือเหมาะสมในการแก้ปัญหา
การตัดสินใจ (Decision–making) หมายถึง กระบวนการในการตัดสินใจเลือกวิธีปฏิบัติจากทางเลือกที่มีอยู่ 2 ทางเลือกหรือมากกว่า เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นหรือเพื่อให้เกิดผลตามสิ่งที่มุ่งหวัง ซึ่งผลของการตัดสินใจของสมาชิกองค์การทุกคนล้วนมีผลกระทบต่องานที่ทำและต่อองค์การของตน

2. ความสัมพันธ์ระหว่างการแก้ปัญหาและการตัดสินใจ เมื่อมีปัญหาเราต้องทำการตัดสินใจ เพราะปัญหาก่อให้เกิดโอกาสและทางเลือกต่างๆ ซึ่งต้องอาศัยการตัดสินใจว่าจะเลือกดำเนินไปทางไหน จึงจะเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด หรือเสียหายน้อยที่สุด
ดังนั้น ในกระบวนการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบต้องอาศัยกระบวนการวิเคราะห์ปัญหาและการตัดสินใจที่มีคุณภาพ จึงจะทำให้เราสามารถแก้ปัญหานั้นได้หรือสามารถบรรลุตามสิ่งที่มุ่งหวัง

3. ประเภทของปัญหาและการตัดสินใจภาระรับผิดชอบที่หลากหลายของผู้จัดการ ทำให้ผู้จัดการต้องเผชิญกับการตัดสินใจหลายประเภทแตกต่างกันไป โดยสามารถแบ่งประเภทของปัญหาและการตัดสินใจได้ 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ

3.1 ปัญหาที่มีโครงสร้างชัดเจนและการตัดสินใจแบบมีโปรแกรม (Well Structured Problem and Programmed Decisions)
ปัญหาประเภทที่มีลักษณะปัญหาตรงไปตรงมาและเป็นปัญหาที่คุ้นเคย เกิดขึ้นบ่อยๆ สามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาได้ง่ายและมีข้อมูลครบถ้วน เรียกว่า ปัญหาที่มีโครงสร้างชัดเจน วัตถุประสงค์ในการตัดสินใจแก้ปัญหาของผู้ที่ทำหน้าที่ตัดสินใจจึงชัดเจน ตัวอย่างของปัญหาประเภทนี้ เช่น ลูกค้าลืมสิ่งของไว้ในห้องพักโรงแรม ซึ่งมักเกิดขึ้นบ่อย โรงแรมแต่ละแห่งจึงมักกำหนดขั้นตอนมาตรฐานในการแก้ปัญหาไว้อย่างชัดเจน ซึ่งมักเป็นวิธีการที่ใช้ได้ผลดี ขั้นตอนแก้ปัญหาที่สามารถกำหนดได้ล่วงหน้าชัดเจนเช่นนี้ จึงเรียกว่า การตัดสินใจแบบมีโปรแกรม ซึ่งช่วยให้ผู้ตัดสินใจไม่ต้องยุ่งยากหรือเสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายในการหาแนวทางตัดสินใจ และบ่อยครั้งที่ผู้บริหารสามารถมอบอำนาจการตัดสินใจให้พนักงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตัดสินใจเพื่อแก้ปัญหาได้เลย โดยผู้บริหารไม่ต้องไปจัดการด้วยตนเอง โดยยึดตามแนวทางที่ช่วยในการตัดสินใจ ได้แก่ ขั้นตอนการทำงาน กฎระเบียบ หรือนโยบาย
ขั้นตอนการทำงาน (Procedure) คือ ขั้นตอนดำเนินการที่เกี่ยวข้องต่อเนื่องกัน ที่ ผู้บริหารสามารถใช้ในการจัดการปัญหาที่มีโครงสร้าง สิ่งที่ยาก คือ การกำหนดปัญหา ถ้าปัญหานั้นมี ความชัดเจน ก็สามารถใช้ขั้นตอนการทำงานแก้ปัญหาได้ ปัจจุบันมักมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยในการตัดสินใจโดยอัตโนมัติ เช่น ระบบการจัดซื้อ การคำนวณค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา เป็นต้น กฎระเบียบ (Rule) คือ ข้อความที่ประกาศอย่างเป็นทางการขององค์การถึงสิ่งที่พนักงานรวมถึงผู้บริหารควรหรือไม่ควรกระทำในกรณีต่างๆ ดังนั้น ถ้าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นกรณีที่ระบุในกฎระเบียบแล้ว ผู้บริหารมักยึดแนวทางของกฎระเบียบในการตัดสินใจเพื่อความคงเส้นคงวาในการปฏิบัติ และความเป็นธรรม เช่น ระเบียบเกี่ยวกับการมาปฏิบัติงาน การมาทำงาน และการขาดงานของพนักงาน เป็นต้น นโยบาย (Policy) คือ ข้อความกว้างๆ ที่ให้แนวทางให้ผู้บริหารคิดในทิศทางที่องค์การต้องการ ซึ่งนโยบายจะชี้แนะถึงตัวแปรหรือปัจจัยที่ควรคำนึงสำหรับผู้ตัดสินใจ แต่การตัดสินใจยังคงขึ้นกับการใช้วิจารณญาณของผู้ตัดสินใจตามสมควร ซึ่งต่างจาก “กฎระเบียบ” ที่กำหนดด้วยข้อความที่เฉพาะเจาะจงถึงสิ่งที่ควรหรือไม่ควรกระทำ ตัวอย่างนโยบาย เช่น “ลูกค้าสำคัญเป็นอันดับแรกและต้องได้รับความพึงพอใจเสมอ” หรือ “อัตราค่าตอบแทนของพนักงานจะต้องสามารถแข่งขันได้ภายในท้องที่เดียวกัน” เป็นต้น

3.2 ปัญหาที่มีโครงสร้างไม่ชัดเจนและการตัดสินใจแบบไม่มีโปรแกรม (Ill–Structured Problem and Non-programmed Decisions)
ในสภาพความเป็นจริงของการทำงาน ผู้บริหารไม่อาจเผชิญแต่ปัญหาที่มีโครงสร้างชัดเจน บ่อยครั้งที่ผู้บริหารต้องพบกับปัญหาที่มีโครงสร้างไม่ชัดเจน กล่าวคือ เป็นปัญหาที่อาจไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหรือไม่ใช่ปัญหาปกติ ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัญหานั้นคลุมเครือหรือไม่สมบูรณ์ ตัวอย่างปัญหาประเภทนี้ เช่น ปัญหาการเลือกสถาปนิกเพื่อออกแบบอาคารสำนักงานบริษัทใหม่ ปัญหาว่าควรลงทุนในเทคโนโลยีใหม่หรือไม่ ปัญหาว่าควรยุบเลิกธุรกิจที่ขาดทุนหรือไม่ เป็นต้น เมื่อต้องเผชิญปัญหาที่มีโครงสร้างไม่ชัดเจนเช่นนี้ ผู้บริหารต้องใช้การตัดสินใจแบบไม่มีโปรแกรมเพื่อแก้ปัญหา โดยเป็นการตัดสินใจเฉพาะเรื่อง ที่ต้องอาศัยเทคนิคต่างๆ เพื่อช่วยให้การตัดสินใจนั้นเหมาะสมในสถานการณ์นั้นที่สุด

4. สภาวะหรือระดับของการตัดสินใจ (Decision–Making Conditions)ระดับของการตัดสินใจที่ผู้บริหารมักเผชิญในการทำการตัดสินใจ ได้แก่ การตัดสินใจภายใต้สภาวะความแน่นอน ความเสี่ยง และความไม่แน่นอน

4.1 การตัดสินใจในสภาวะความแน่นอน (Certainty)
ภายใต้สภาวะที่มีความแน่นอน ผู้บริหารสามารถทำการตัดสินใจได้อย่างถูกต้องเที่ยงตรง เพราะสามารถทราบผลลัพธ์ของแต่ละทางเลือกที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้า ตัวอย่างเช่น การตัดสินใจในการลงทุนระหว่างฝากเงินในธนาคาร ซื้อพันธบัตรรัฐบาล หรือซื้อสลากออมสิน เราจะทราบผลตอบแทนของแต่ละทางเลือกแน่นอน แต่ในความเป็นจริงสภาวะความแน่นอนเช่นนี้ยากที่จะเกิดขึ้น

4.2 การตัดสินใจในสภาวะความเสี่ยง (Risk)
เป็นสถานการณ์ที่มักเกิดขึ้นในชีวิตจริง สภาวะความเสี่ยงหมายถึง ผู้ตัดสินใจไม่ทราบผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้า แต่สามารถประมาณการโอกาสของผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นของแต่ละทางเลือกในการตัดสินใจ โดยการให้ค่าความน่าจะเป็นของแต่ละผลลัพธ์ โดยใช้ประสบการณ์ในอดีตหรือใช้ข้อมูลที่มีการรวบรวมไว้ ตัวอย่างเช่น การตัดสินใจลงทุน โดยการซื้อหุ้นของบริษัทชั้นนำในตลาดหลักทรัพย์ ที่เราทราบข้อมูลมูลค่าหุ้นและอัตราเงินปันผลในอดีต เราสามารถหาความน่าจะเป็นและคาดการณ์ผลตอบแทนที่จะได้จากแต่ละบริษัทได้ แต่ผลตอบแทนดังกล่าวมีความเสี่ยงที่จะไม่เป็นไปตามที่เราคาดการณ์ได้ ซึ่งต่างจากกรณีแรก

4.3 การตัดสินใจในสภาวะความไม่แน่นอน (Uncertainty) เป็นสถานการณ์ที่ผู้ตัดสินใจไม่แน่ใจในผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นของแต่ละทางเลือก และไม่สามารถหาค่าความน่าจะเป็นที่จะเกิดขึ้นของแต่ละทางเลือก เพราะข้อมูลที่มีเกี่ยวกับแต่ละทางเลือกมักมีจำกัด ซึ่งเป็นสภาวะการตัดสินใจที่ผู้บริหารมักต้องเผชิญในชีวิตจริง ตัวอย่างเช่น การตัดสินใจลงทุนซื้อหุ้นในบริษัทใหม่ 2 บริษัทที่เพิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์ กรณีนี้เราไม่มีข้อมูลในอดีตที่จะหาความน่าจะเป็นของผลตอบแทนของทั้งสองบริษัทได้ จึงเป็นการตัดสินใจในสภาวะที่มีความ ไม่แน่นอนในผลตอบแทนสูง

ผู้บริหารส่วนใหญ่มักต้องตัดสินใจภายใต้สภาวะความเสี่ยง สำหรับผู้บริหารระดับสูงมักต้องตัดสินใจภายใต้ความไม่แน่นอนมากกว่าผู้บริหารระดับล่าง ซึ่งเป็นการยากที่จะระบุทรัพยากรที่จะใช้ในการแก้ปัญหาได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เราไม่สามารถขจัดความเสี่ยงและความไม่แน่นอนในสถานการณ์ต่างๆ ที่ต้องตัดสินใจได้ แต่เราสามารถลดความเสี่ยงและความไม่แน่นอนนั้นได้

5. ขั้นตอนการแก้ปัญหาและการตัดสินใจ (Problem Solving and Decision Making Process)เพื่อลดความเสี่ยงและความไม่แน่นอนของสภาวะการตัดสินใจ และช่วยให้เราสามารถแก้ปัญหาได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น การแก้ปัญหาและตัดสินใจตามขั้นตอนที่ถูกต้องเหมาะสม จะช่วยให้สามารถค้นหาทางออกที่ถูกต้องและเพิ่มโอกาสในการบรรลุสิ่งที่คาดหวัง โดยการดำเนินการตามขั้นตอนการแก้ปัญหาและการตัดสินใจ ดังนี้

1) การจำแนกและกำหนดปัญหา (Classify and Define a Problem) ได้แก่ การวิเคราะห์ รวบรวมข้อมูล และทำความเข้าใจเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และกำหนดปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้องและชัดเจน รวมถึงระบุสภาพการณ์หรือเป้าหมายที่เราต้องการให้เกิดขึ้นหลังจากขจัดปัญหานั้นแล้ว
2) การวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา (Analysis of Causes of Problem ) ได้แก่ การใช้เทคนิคและวิธีการต่างๆ เช่น แผนภูมิก้างปลา แผนภูมิพาเรโต เพื่อช่วยวิเคราะห์สาเหตุที่เป็นไปได้ของปัญหา และช่วยในการเลือกเฉพาะสาเหตุที่สำคัญเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมและหาแนวทางแก้ไขต่อไป
3) การหาทางเลือกในการแก้ปัญหา (Develop Alternatives) ได้แก่ การระบุทางเลือกในการแก้ปัญหา ด้วยการใช้วิธีการต่างๆ เช่น การใช้ความคิดสร้างสรรค์ การระดมสมอง และวิธีอื่นๆ เพื่อหาวิธีแก้ปัญหาให้มากที่สุด และกลั่นกรองให้เหลือเฉพาะวิธีแก้ปัญหาที่มีประสิทธิผลจำนวนหนึ่ง
4) การเลือกวิธีแก้ปัญหา (Select an Alternative) ได้แก่ การกำหนดเกณฑ์หรือเงื่อนไขในการประเมินแต่ละทางเลือกในการแก้ปัญหา การวิเคราะห์เปรียบเทียบแต่ละทางเลือกและตัดสินใจเลือกทางเลือกในการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดหรือที่เหมาะสมที่สุด
5) การวางแผนการปฏิบัติและการนำไปปฏิบัติ (Plan and Implement the Decision) ได้แก่ การกำหนดแผนการนำวิธีการที่เลือกไปปฏิบัติและนำทางเลือกที่ตัดสินใจเลือกไปปฏิบัติอย่างเหมาะสม และมีการสื่อสารให้ผู้เกี่ยวข้องทราบ
6) การประเมินผล (Evaluate the Decision) ได้แก่ การประเมินติดตามผลหลังจากนำทางเลือกไปปฏิบัติเป็นระยะๆ ว่าปัญหาได้รับการแก้ไขแล้วหรือไม่ มีอุปสรรคใดหรือไม่ และดำเนินมาตรการแก้ไขถ้าผลการดำเนินการไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้

อนึ่ง การใช้กระบวนการแก้ปัญหาและการตัดสินใจดังกล่าว อาจไม่จำเป็นต้องดำเนินการเรียงลำดับทุกขั้นตอน โดยอาจข้ามบางขั้นตอนที่ชัดเจนแล้ว เช่น การกำหนดปัญหา หรือ อาจมีการกลับไปเปลี่ยนบางขั้นตอนก่อนหน้าเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปหรือมีข้อมูลเพิ่มขึ้น เช่น เพิ่มทางเลือกที่เป็นไปได้ กลับไปกำหนดปัญหาใหม่ให้ชัดเจนขึ้น เป็นต้น

สรุป ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อมีความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ต้องการกับสิ่งที่คาดหวัง การตัดสินใจเป็นการเลือกวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดเพื่อนำสู่สิ่งที่มุ่งหวัง ปัญหามีทั้งประเภทที่มีโครงสร้างชัดเจนและไม่ชัดเจน ถ้าโครงสร้างชัดเจนจะทำให้การตัดสินใจง่าย สามารถกำหนดแนวทางแก้ปัญหาเป็นขั้นตอนการปฏิบัติงาน กฎระเบียบ หรือนโยบายได้ แต่ถ้าปัญหามีโครงสร้างไม่ชัดเจนซึ่งมักเกิดขึ้นในชีวิตจริง ทำให้การตัดสินใจยากขึ้นเพราะมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนสูง จำเป็นต้องมีการตัดสินใจอย่างเป็นระบบโดยสามารถดำเนินการตามระบบการแก้ปัญหาและการตัดสินใจ 6 ขั้นตอน ได้แก่ การจำแนกและกำหนดปัญหา การหาสาเหตุของปัญหา การหาทางเลือกในการแก้ปัญหา การเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด การวางแผนปฏิบัติตามทางเลือก และ การติดตามผล

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

ศ.ดร.เรวัตร์ ชาตรีวิศิษฏ์: We-ASEAN must know and prepare our group to be mar...


ศ.ดร.เรวัตร์ ชาตรีวิศิษฏ์: We-ASEAN must know and prepare our group to be mar...: We-ASEAN must know and prepare our group to be market leader in our world for the advertising? Prof.Raywat Chatreewisit,Ph.D Dr.Samai Hem...

 Chatreewisit,Ph.D

We-ASEAN must know and prepare our group to be market leader in our
world for the advertising?
Prof.Raywat Chatreewisit,Ph.D
Dr.Samai Hemman,DBA

We-ASEAN must know and prepare our group to be market leader in ourworld for the advertising




.........................................................................
            Nowadays international advertising can also be viewed as a
business activity through which a firm attempts to inform target
audiences in multiple countries about itself and its product or
service offerings. In some cases the advertising message relates to
the firm and its activities, i.e. its corporate image. In other cases,
the message relates to a specific product or service marketed by the
firm. In either case, the firm will use the services of an advertising
agency to determine the appropriate message, advertising copy and make
the media placement.
              An important issue in determining international
advertising strategy is whether or not to develop a global or regional
advertising campaign, or rather tailor communication to differences in
local markets (Peebles and Ryans 1984). If the purpose of advertising
is to develop a strong corporate or global image, a uniform global
campaign is more likely to be used. When, on the other hand, the
objective is to launch a new product or brand, or to more clearly
differentiate the product or brand from other competing brands or
products, local campaigns tailored to local markets are more typical.
              A global campaign offers a number of advantages. In the
first place, it can be an important means of building a strong and
coherent global image for the firm and/or its products worldwide. Use
of the same image in different countries builds familiarity and
generates synergies across world markets. It allows utilization of
good ideas and creative talent (both of which are scarce commodities)
on a worldwide basis. In addition, use of a single campaign provides
substantial cost savings in copy development and production costs.
Conversely, development of multiple local campaigns can lead to
duplication of effort, result in inconsistent brand images across
countries and confusion in consumers' minds with regard to the
benefits offered by the brand and corporate image.
    At the same time, international advertising also acts as an
integrating force across national boundaries. It disseminates messages
using universal symbols and slogans, and establishes a common mode of
communication among target audiences in different parts of the world.
At the same time, multicultural values are reinforced by advertisers,
who adopt images incorporating peoples of different nations and
diverse cultural backgrounds, as, for example, the Colors of Benneton
campaign or the British Airways "Peoples of the World" campaign. The
impact of such campaigns is further reinforced by the growth of global
media such as Star TV, CNN, MTV or print media that target global
audiences worldwide. Consequently, while, on the one hand,
international advertising can be viewed as a colonizing force
propagating Western values and mores throughout the world, it is also
an important force integrating societies and establishing common
bonds, universal symbols and models of communication among peoples in
different parts of the globe.
              While use of uniform advertising appeals offers a
number of advantages, differences in customer perceptions and response
patterns across countries and cultures, as well as media availability
and government regulation are major barriers to use of a standardized
campaign. Even though technological developments allow adaptation of
advertising appeals to different languages (for example, TV can have
audio channels in two languages, Internet messages can be
automatically translated), development of visual and verbal copy that
works effectively in multiple countries poses major creative
challenges.
              Faced with this dilemma, firms may use a global
umbrella campaign combined with local country or product-specific
advertising. The global umbrella campaign develops a uniform image for
the company or brand worldwide, often relying on consistent visual
images and the corporate logo. Product-specific or country advertising
builds on this image, modifying the appeal and providing information
tailored to the local market. The objective of the umbrella campaign
is to provide an integrating force, while local campaigns provide
greater relevance to specific local customers and markets.
              The organizational structure of the firm often plays a
key role in the choice of global vs. locally adapted campaigns. If
international operations are organized on a country-by- country or
geographic basis and operate as local profit centers with local
advertising budgets, pressures exist for use of local advertising
campaigns. If, on the other hand, the company is organized by product
divisions, with centralized advertising budgets at corporate or
regional headquarters, use of regional or global advertising campaigns
is more likely  International advertising entails dissemination of a
commercial message to target audiences in more than one country.
Target audiences differ from country to country in terms of how they
perceive or interpret symbols or stimuli, respond to humor or
emotional appeals, as well as in levels of literacy and languages
spoken. How the advertising function is organized also varies. In some
cases, multinational firms centralize advertising decisions and
budgets and use the same or a limited number of agencies worldwide. In
other cases, budgets are decentralized and placed in the hands of
local subsidiaries, resulting in greater use of local advertising
agencies.
              International advertising can, therefore, be viewed as
a communication process that takes place in multiple cultures that
differ in terms of values, communication styles, and consumption
patterns. International advertising is also a business activity
involving advertisers and the advertising agencies that create ads and
buy media in different countries. The sum total of these activities
constitutes a worldwide industry that is growing in importance.
International advertising is also a major force that both reflects
social values, and propagates certain values worldwide.
Often the symbols, ideals and mores that international advertising
portrays and promotes are those of Western society and culture.
Through the reach of advertising, brands such as Levi's, Nike,
Marlboro and McDonalds are known by and have become objects of desire
for teens and young adults throughout the world. Similarly, images and
scenes depicted in much international advertising are either Western
in origin or reflect Western consumption behavior and values. Even
where adapted to local scenarios and role models, those shown often
come from sectors of society, such as the upwardly mobile urban middle
class, which embrace or are receptive to Western values and mores.
              Consequently, a criticism frequently leveled at
international advertising is that it promulgates Western values and
mores, notably from the US, in other countries. This is viewed
particularly negatively in societies with strong religious or moral
values, which run counter to those of the West as, for example,
Islamic societies in the Middle East. When Western advertising depicts
sexually explicit situations or shows women in situations considered
as inappropriate or immoral, it is likely to be considered a
subversive force undermining established cultural mores and values.
Equally, in some countries such as France, there is a strong negative
reaction to the imposition of US culture, values and use of English in
advertising. Promotion of tobacco products by US and UK companies in
countries where there is no legislation regulating or banning
cigarette advertising has also been criticized.
  In the near future we-ASEAN must know and prepare our group to be
market leader in our world if we can and everything  is possible  if
we think and do or going forwards together.
..........................................................................................................