วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

มงคลชีวิต 38 ประการ

 ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ วันพระ-ธรรมสวณะ ตรงกับ วันศุกร์ แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีเถาะ
> กราบเรียน/เรียน ท่านที่เคารพนับถือ
> ผมขอนำเสนอท่านเพื่อทราบ และพึงปฏิบัติตามอัธยาศัยของท่านครับ
> มงคลชีวิต ๓๘ ประการ
> ๑. การไม่คบคนพาล
> ท่านว่าลักษณะของคนพาลมี ๓ ประการคือ
> ๑.คิดชั่ว คือการมีจิตคิดอยากได้ในทางทุจริต มีความพยาบาท และมิจฉาทิฐิ
> คือเห็นผิดเป็นชอบ
> ๒.พูดชั่ว คือคำพูดที่ประกอบไปด้วยวจีทุจริตเช่น พูดเท็จ พูดส่อเสียด
> พูดคำหยาบ และพูดเพ้อเจ้อ
> ๓.ทำชั่ว คือทำอะไรที่ประกอบด้วยกายทุจริตเช่น การฆ่าสัตว์ ลักขโมย
> ฉ้อโกง ฉุดคร่าอนาจาร ประพฤติผิดในกาม
> รูปแบบของคนพาล มีข้อควรสังเกตคือ
> ๑. ชอบแนะนำไปในทางที่ผิด หรือที่ไม่ควรแนะนำ อาทิเช่น
> แนะนำให้ไปเล่นการพนัน ให้ไปลักขโมย ให้กินยาบ้า ให้เสพยา
> ชวนไปฉุดคร่าอนาจารเป็นต้น เหล่านี้ถือว่าเป็นพาล
> ๒. ชอบทำในสิ่งที่ไม่ใช่ธุระ อาทิเช่น
> ไม่ทำงานตามหน้าที่ของตนให้เรียบร้อย
> แต่กลับชอบจะไปก้าวก่ายยุ่งกับหน้าที่การงานของผู้อื่น
> หรือไปจับผิดเพื่อนร่วมงาน แกล้ง ยุยง นินทาว่าร้ายกันและกันเป็นต้น
> ๓. ชอบทำผิดโดยเห็นสิ่งผิดเป็นของดี อาทิเช่น การสูบยาได้เป็นฮีโร่
> เห็นคนที่ซื่อสัตย์เป็นคนโง่ไม่กินตามน้ำ ชอบรับสินบน ทุจริตในหน้าที่
> หรือช่วยพวกพ้องให้พ้นจากความผิดเป็นต้น
> ๔. จะโกรธเคืองเมื่อพูดเตือน อาทิเช่น การเตือนเรื่องการเที่ยวเตร่
> เตือนเรื่องการดื่มเหล้า กลับบ้านดึก เตือนเรื่องการคบเพื่อนเป็นต้น
> คนพวกนี้จะโกรธเมื่อได้รับการตักเตือน และไม่รับฟัง
> ๕. ไม่มีระเบียบวินัย อาทิเช่น ไม่เข้าคิวตามลำดับก่อนหลัง
> แต่ชอบแซงคิวอย่างหน้าด้านๆ ทิ้งขยะลงคลอง หรือข้างทาง
> ไม่เคารพกฎหมายของบ้านเมือง หรือของท้องถิ่นเป็นต้น
> ๒. การคบบัณฑิต
> บัณฑิต หมายถึงผู้ทรงความรู้ มีปัญญา มีจิตใจที่งาม
> และมีการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง รู้ดีรู้ชั่ว (ไม่ใช่คนที่จบปริญญาโดยนัย)
> มีลักษณะดังนี้คือ
> ๑. เป็นคนคิดดี คือการไม่คิดละโมบ ไม่พยาบาทปองร้ายใคร รู้จักให้อภัย
> เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ ความกตัญญูรู้คุณเป็นต้น
> ๒. เป็นคนพูดดี คือวจีสุจริต พูดจริง ทำจริงไม่โกหก ไม่พูดหยาบ ถากถาง นินทาว่าร้าย
> ๓. เป็นคนทำดี คือทำอาชีพสุจริต มีเมตตา ทำทานเป็นปกตินิสัย
> อยู่ในศีลธรรม ทำสมาธิภาวนา
> รูปแบบของบัณฑิต มีข้อควรสังเกตคือ
> ๑. ชอบชักนำในทางที่ถูกที่ควร อาทิเช่นการชักนำให้เลิกทำในสิ่งที่ผิด
> ตักเตือนให้ทำความดีอย่างเช่น ให้เลิกเล่นการพนันเป็นต้น
> ๒. ชอบทำในสิ่งที่เป็นธุระ อาทิเช่นการทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วง
> และใช้เวลาที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์
> ไม่ก้าวก่ายเรื่องของผู้อื่นเว้นแต่จะได้รับการร้องขอ
> ๓. ชอบทำและแนะนำสิ่งที่ถูกที่ควร อาทิเช่นการพูดและทำอย่างตรงไปตรงมา
> แนะนำการทำทานที่ถูกต้อง ทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น
> ๔. รับฟังดี ไม่โกรธ อาทิเช่นเมื่อมีคนมาว่ากล่าวก็ไม่ถือโทษ หรือโกรธ
> หรือทำอวดดี แต่จะรับฟังแล้วนำไปพิจารณาโดยยุติธรรม
> แล้วนำมาแก้ไขปรับปรุง
> ๕. รู้ระเบียบกฏกติกามรรยาทที่ดี อาทิเช่นการรักษาระเบียบวินัยขององค์กร
> เพื่อให้หมู่คณะมีความเป็นระเบียบ และการดำเนินงานไม่สับสน
> หรือการรักษาความสะอาด ปฏิบัติ และเคารพกฎ ของสถานที่ ไม่ทำตามอำเภอใจ
> ๓. การบูชาบุคคลที่ควรบูชา
> การบูชา คือการแสดงความเคารพบุคคลที่เรานับถือ ยกย่อง
> เลื่อมใสในบุคคลคนนั้น ซึ่งการบูชาแบ่งออกเป็น ๒ อย่างคือ
> ๑. อามิสบูชา คือการบูชาด้วยสิ่งของเช่น การนำเงินให้พ่อแม่ไว้ใช้จ่าย
> หรือมอบทรัพย์สินให้พ่อแม่ หรือการนำดอกไม้
> ธูปเทียนไปบูชาพระก็ถือเป็นอามิสบูชาเป็นต้น
> ๒.ปฏิบัติบูชา คือการบูชาด้วยการเจริญสมาธิภาวนา การฝึกจิตให้ไม่ฟุ้งซ่าน
> เห็นความจริงในความเป็นไปของโลกเป็นต้น
> บุคคลที่ควรบูชา มีดังนี้คือ
> ๑.พระพุทธเจ้า (คงไม่ต้องอธิบาย)
> ๒.พระปัจเจกพระพุทธเจ้า หมายถึงพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา
> ๓.พระมหากษัตริย์ผู้ตั้งอยู่ในทศพิศราชธรรม
> ๔.บิดามารดา
> ๕.ครูอาจารย์ ที่มีความรู้ดี มีความสามารถ และประพฤติดี
> ๖.อุปัชฌาย์ หรือผู้บังคับบัญชาที่มีความประพฤติดี ตั้งอยู่ในธรรม
> ๔. การอยู่ในถิ่นอันสมควร
> ถิ่นอันสมควรควรประกอบด้วยสิ่งแวดล้อม ๔ อย่างได้แก่
> ๑.อาวาสเป็นที่สบาย หมายถึงอยู่แล้วสบาย เช่นสะอาด เดินทางไปมาสะดวก
> อากาศดี เป็นแหล่งชุมชน ไม่มีแหล่งอบายมุขเป็นต้น
> ๒.อาหารเป็นที่สบาย หมายถึงอาหารการกินอุดมสมบูรณ์
> เช่นมีแหล่งอาหารที่สามารถจัดซื้อหามาได้ง่าย เป็นต้น
> ๓.บุคคลเป็นที่สบาย หมายถึงที่ที่มีคนดี จิตใจโอบอ้อมอารี
> ถ้อยทีถ้อยอาศัย มีศีลธรรม ไม่มีโจร นักเลง หรือใกล้แหล่งอิทธิพลเป็นต้น
> ๔.ธรรมะเป็นที่สบาย หมายถึงมีที่พึ่งด้านธรรมะ มีที่ฟังธรรมเช่น
> มีวัดอยู่ในละแวกนั้น มีโรงเรียน หรือแหล่งศึกษาหาความรู้เป็นต้น
> ๕. เคยทำบุญมาก่อน
> ขึ้นชื่อว่าบุญนั้น มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้คือ
> ๑. ทำให้กาย วาจา และใจ สะอาดได้
> ๒. นำมาซึ่งความสุข
> ๓. ติดตามไปได้ หมายถึงบุญจะติดตัวเราไปได้ตลอดจนถึงชาติหน้า
> ๔. เป็นของเฉพาะตน หมายถึงขอยืม หรือแบ่งกันไม่ได้ ทำเองได้เอง
> ๕. เป็นที่มาของโภคทรัพย์ทั้งหลาย
> คือว่าผลของบุญจะบันดาลให้เกิดขึ้นได้เองโดยไม่ได้หวังผล
> ๖. ให้มนุษย์สมบัติ ทิพย์สมบัติ และนิพพานสมบัติแก่เราได้
> หมายถึงความสมบูรณ์ตั้งแต่ทางโลก จนถึงนิพพานได้เลย
> ๗. เป็นปัจจัยให้ถึงซึ่งนิพพาน
> ก็คือเป็นปัจจัยในการส่งเสริมให้บรรลุถึงนิพพานได้เร็วขึ้นเมื่อปฏิบัติ
> ๘. เป็นเกราะป้องกันภัยในวัฏสังสาร หมายถึงในวงจรการเกิด แก่ เจ็บ ตาย
> หรือที่เรียกว่าเวียนว่ายตายเกิดนั้น บุญจะคุ้มครองให้ผู้นั้นเกิดในที่ดี
> อยู่อย่างมีความสุข หรือตายอย่างไม่ทรมาน
> ขึ้นอยู่กับกำลังบุญที่สร้างสมมา
> การทำบุญนั้นมีหลายวิธี แต่พอสรุปได้สั้นๆดังนี้คือ
> ๑.การทำทาน
> ๒.การรักษาศีล
> ๓.การเจริญภาวน
> ๖. การตั้งตนชอบ
> หมายถึงการดำเนินชีวิตอย่างมีเป้าหมาย ด้วยความถูกต้องและสุจริต
> อยู่ในสัมมาอาชีพ มีแผนการที่จะไปให้ถึงจุดหมายนั้นด้วยความไม่ประมาท
> มีการเตรียมพร้อม และมีความอดทนไม่ละทิ้งกลางคัน
> ๗. ความเป็นพหูสูต
> คือเป็นผู้ที่ฟังมาก เล่าเรียนมาก เป็นผู้รอบรู้ โดยมีลักษณะดังนี้คือ
> ๑.รู้ลึก คือการรู้ในสิ่งนั้นๆ เรื่องนั้นๆอย่างหมดจดทุกแง่ทุกมุม
> อย่างมีเหตุมีผล รู้ถึงสาเหตุจนเรียกว่าความชำนาญ
> ๒.รู้รอบ คือการรู้จักช่างสังเกตในสิ่งต่างๆ รอบตัว เช่นเหตุการณ์แวดล้อมเป็นต้น
> ๓.รู้กว้าง คือการรู้ในสิ่งใกล้เคียงกับเรื่องนั้นๆ ที่เกี่ยวข้องกัน
> สัมพันธ์กันเป็นต้น
> ๔.รู้ไกล คือการศึกษาถึงความเป็นไปได้ ผลในอนาคตเป็นต้น
> ถ้าอยากจะเป็นพหูสูตก็ควรต้องมีคุณสมบัติดังว่านี้คือ
> ๑.ความตั้งใจฟัง ก็คือชอบฟัง ชอบอ่านหาความรู้ และค้นคว้าเป็นต้น
> ๒.ความตั้งใจจำ ก็คือรู้จักวิธีจำ โดยตั้งใจอ่านหรือฟังในสิ่งนั้นๆ
> และจับใจความให้ได้
> ๓.ความตั้งใจท่อง ก็คือท่องให้รู้โดยอัตโนมัติ ไม่ลืม ในสิ่งที่เป็นสาระสำคัญ
> ๔.ความตั้งใจพิจารณา ก็คือการรู้จักพิจารณา ตรึกตรองในสิ่งนั้นๆอย่างทะลุปรุโปร่ง
> ๕.ความเข้าใจในปัญหา ก็คือการรู้อย่างแจ่มแจ้งในปัญหาอย่างถ่องแท้ด้วยปัญญา
> ๘. การรอบรู้ในศิลปะ
> ศิลปะ คือสิ่งที่แสดงออกถึงความงดงาม และมีความสุนทรีย์ โดยลักษณะของมันมีดังนี้คือ
> ๑.มีความประณีต
> ๒.ทำให้ของดูมีค่ามากขึ้น
> ๓.ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์
> ๔.ไม่ทำให้เกิดกามกำเริบ
> ๕.ไม่ทำให้เกิดความพยาบาท
> ๖.ไม่ทำให้เกิดความเบียดเบียน
> ถ้าท่านอยากเป็นคนมีศิลปะ ควรต้องฝึกให้มีคุณสมบัติเหล่านี้ไว้ในตัวคือ
> ๑.มีศรัทธาในความงดงามของสิ่งต่างๆ
> ๒.หมั่นสังเกตและพิจารณา
> ๓.มีความประณีต อารมณ์ละเอียดอ่อน
> ๔.เป็นคนสุขุม มีความคิดสร้างสรรค์
> ๙. มีวินัยที่ดี
> วินัย ก็คือข้อกำหนด ข้อบังคับ
> กฏเกณฑ์เพื่อควบคุมให้มีความเป็นระเบียบนั่นเอง
> มีทั้งวินัยของสงฆ์และของคนทั่วไป สำหรับของสงฆ์นั้นมีทั้งหมด ๗
> อย่างหรือเรียกว่า อนาคาริยวินัย ส่วนของบุคคลทั่วไปก็มี ๑๐ อย่าง
> คือการละเว้นจากอกุศลกรรม ๑๐ ประการ
> อนาคาริยวินัยของพระมีดังนี้
> ๑.ปาฏิโมกขสังวร คือการอยู่ในศีลทั้งหมด ๒๒๗ ข้อ
> การผิดศีลข้อใดข้อหนึ่งก็ถือว่าต้องโทษแล้วแต่ความหนักเบา
> เรียงลำดับกันไปตั้งแต่ ขั้นปาราชิก สังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์
> ปาฏิเทสนียะ ทุกฏ ทุพภาสิต เป็นต้น (ความหมายของแต่ละคำมันต้องอธิบายเยอะ
> จะไม่กล่าวในที่นี้)
> ๒.อินทรียสังวร คือการสำรวมอายตนะทั้ง ๕ และกาย วาจา ใจ
> ให้อยู่กับร่องกับรอย โดยอย่าไปเพลิดเพลินติดกับสิ่งที่มาสัมผัสเหล่านั้น
> ๓.อาชีวปาริสุทธิสังวร คือการหาเลี้ยงชีพในทางที่ชอบ
> นั่นก็คือการออกบิณฑบาตร ไม่ได้เรียกร้อง
> เรี่ยไรหรือเที่ยวขอเงินชาวบ้านมาเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของตัวเอง
> ๔.ปัจจยปัจจเวกขณะ
> คือการพิจารณาในสิ่งของทั้งหลายถึงคุณประโยชน์โดยเนื้อแท้ของสิ่งของเหล่านั้นอย่างแท้จริง
> โดยใช้เพื่อบริโภค เพื่อประโยชน์ ความอยู่รอด
> และความเป็นไปของชีวิตเท่านั้น
> วินัยสำหรับฆราวาส หรือบุคคลทั่วไป เรียกว่าอาคาริย วินัย มีดังนี้
> (อกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ)
> ๑.ไม่ฆ่าชีวิตคน หรือสัตว์ไม่ว่าน้อย ใหญ่
> ๒.ไม่ลักทรัพย์ ยักยอกเงิน สิ่งของมาเป็นของตัว
> ๓.ไม่ประพฤติผิดในกาม ผิดลูกผิดเมีย ข่มขืนกระทำชำเรา
> ๔.ไม่พูดโกหก หลอกลวงให้หลงเชื่อ หรือชวนเชื่อ
> ๕.ไม่พูดส่อเสียด นินทาว่าร้าย ยุยงให้คนแตกแยกกัน
> ๖.ไม่พูดจาหยาบคาย ให้เป็นที่แสลงหูคนอื่น
> ๗.ไม่พูดจาไร้สาระ หรือที่เรียกว่าพูดจาเพ้อเจ้อไม่มีสาระ เหตุผล หรือประโยชน์อันใด
> ๘.ไม่โลภอยากได้ของเขา คือมีความคิดอยากเอาของคนอื่นมาเป็นของเรา
> ๙.ไม่คิดร้าย ผูกใจเจ็บ แค้น ปองร้ายคนอื่น
> ๑๐.ไม่เห็นผิดเป็นชอบ เช่น เห็นว่าพ่อแม่ไม่มีความสำคัญ
> บุญหรือกรรมไม่มีจริงเป็นต้น
> ๑๐.กล่าววาจาอันเป็นสุภาษิต
> คำว่าวาจาอันเป็นสุภาษิตในที่นี้มิได้หมายถึงเพียงว่าต้องเป็นคำร้อยกรอง
> ร้อยแก้ว เป็นคำคมบาดใจมีความหมายลึกซึ้งเท่านั้น แต่รวมถึงคำพูดที่ดี
> มีประโยชน์ต่อผู้ฟัง ซึ่งสรุปว่าประกอบด้วยลักษณะดังนี้
> ๑.ต้องเป็นคำจริง คือข้อมูลที่ถูกต้อง มีหลักฐานอ้างอิงได้ ไม่ได้ปั้นแต่งขึ้นมาพูด
> ๒.ต้องเป็นคำสุภาพ คือพูดด้วยภาษาที่สุภาพ มีความไพเราะในถ้อยคำ
> ไม่มีคำหยาบโลน หรือคำด่า
> ๓.พูดแล้วมีประโยชน์ คือมีประโยชน์ต่อผู้ฟังถ้าหากนำแนวทางไปคิด
> หรือปฏิบัติในทางสร้างสรรค์
> ๔.พูดด้วยจิตที่มีเมตตา คือพูดด้วยจิตใจที่มีความปรารถนาดีต่อผู้ฟัง
> มีความจริงใจต่อผู้ฟัง
> ๕.พูดได้ถูกกาลเทศะ คือพูดในสถานที่เหมาะสม และในเวลาที่เหมาะสม
> โดยความเหมาะสมจะมีมากน้อยเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับเรื่องที่พูด
> ๑๑.การบำรุงบิดามารดา
> ท่านว่าพ่อแม่นั้นเปรียบได้เป็นทั้ง ครูของลูก เทวดาของลูก พรหมของลูก
> และอรหันต์ของลูก ความหมายโดยละเอียดมีดังต่อไปนี้คือ
> ที่ว่าเป็นครูของลูก เพราะว่าท่านได้คอยอบรมสั่งสอนลูก เป็นคนแรกก่อนคนอื่นใดในโลก
> ที่ว่าเป็นเทวดาของลูก เพราะว่าท่านจะคอยปกป้อง คุ้มครอง เลี้ยงดู
> ประคบประหงมมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก บำรุงให้เติบใหญ่เป็นอย่างดี
> ไม่ให้เกิดอันตรายต่อลูกในทุกด้าน
> ที่ว่าเป็นพรหมของลูก เพราะว่าท่านมีพรหมวิหาร ๔ นั่นก็คือ มีเมตตา
> หมายถึงความเอ็นดู ความปรารถนาดีต่อลูกในทุกๆด้าน ไม่มีที่สิ้นสุด
> มีกรุณา หมายถึงให้ความกรุณาต่อลูก ลูกอยากได้อะไรก็หามาให้ลูก
> ให้การศึกษาเล่าเรียน ส่งเสียเท่าที่มีความสามารถจะให้ได้ มีมุทิตา
> หมายถึงความรักที่ยอมสละได้แม้ชีวิตของตัวเองเพื่อลูก
> ยอมเสียสละได้ทุกอย่าง และมีอุเบกขา หมายถึงการวางเฉย
> ไม่ถือโกรธเมื่อลูกประมาท ซน ทำผิดพลาดเพราะความไร้เดียงสา
> หรือเพราะความไม่รู้
> ที่ว่าเป็นอรหันต์ของลูก เพราะว่าท่านมีคุณธรรม ๔ ประการอันได้แก่
> เป็นผู้มีอุปการะคุณต่อลูก คืออุปการะเลี้ยงดูมาด้วยความเหนื่อยยาก
> กว่าจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่
> เป็นผู้มีพระเดชพระคุณต่อลูก คือให้ความอบอุ่นเลี้ยงดู ปกป้องจากภยันตรายต่างๆ นานา
> เป็นเนื้อนาบุญของลูก คือลูกเป็นส่วนหนึ่งของกรรมดีที่พ่อแม่ได้ทำไว้
> และเป็นผู้รับผลบุญที่พ่อแม่ได้สร้างไว้แล้วทางตรง
> เป็นอาหุไนยบุคคล คือเป็นเหมือนพระที่ควรแก่การเคารพนับถือและรับของบูชา
> เพื่อเทอดทูนไว้เป็นแบบอย่าง
> การทดแทนพระคุณบิดามารดาท่านสามารถทำได้ดังนี้
> ระหว่างเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็เลี้ยงดูท่านเป็นการตอบแทน
> ช่วยเหลือเป็นธุระเรื่องการงานให้ท่าน
> ดำรงวงศ์ตระกูลให้สืบไปไม่ทำเรื่องเสื่อมเสีย
> รวมทั้งประพฤติตนให้ควรแก่การเป็นสืบทอดมรดกจากท่าน
> ครั้นเมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ก็ทำบุญอุทิศกุศลให้ท่าน
> ส่วนการเป็นลูกกตัญญูต่อพ่อแม่ในคำสอนของพระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่าไว้ดังนี้
> ๑.ถ้าท่านยังไม่มีศรัทธา ให้ท่านถึงพร้อมด้วยศรัทธา
> คือพยายามให้ท่านมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา เชื่อในเรื่องการทำดี
> ๒.ถ้าท่านยังไม่มีศีล ให้ท่านถึงพร้อมด้วยศีล
> คือพยายามให้ท่านเป็นผู้รักษาศีล ๕ ให้ได้
> ๓.ถ้าท่านเป็นคนตระหนี่ ให้ท่านถึงพร้อมด้วยการให้ทาน
> คือพยายามให้ท่านรู้จักการให้ด้วยเมตตาโดยไม่หวังผลตอบแทน
> ๔.ถ้าท่านยังไม่ทำสมาธิภาวนา ให้ท่านถึงพร้อมด้วยปัญญา
> คือพยายามให้ท่านหัดนั่งทำสมาธิภาวนาให้ได้
> ๑๒.การสงเคราะห์บุตร
> คำว่าบุตรนั้น มีอยู่ ๓ ประเภทได้แก่
> ๑.อภิชาติบุตร คือบุตรที่มีความดี คุณธรรม และความสามารถเหนือกว่าบิดา มารดา
> ๒.อนุชาตบุตร คือบุตรที่มีความดี คุณธรรม และความสามารถเสมอบิดา มารดา
> ๓.อวชาตบุตร คือบุตรที่มีความดี คุณธรรม และความสามารถต่ำกว่าบิดา มารดา
> การที่เราเป็นพ่อ เป็นแม่ของบุตรนั้น มีหน้าที่ที่ต้องให้กับลูกของเราคือ
> ๑.ห้ามไม่ให้ทำความชั่ว
> ๒.ปลูกฝัง สนับสนุนให้ทำความดี
> ๓.ให้การศึกษาหาความรู้
> ๔.ให้ได้คู่ครองที่ดี (ใช้ประสพการณ์ของเราให้คำปรึกษาแก่ลูก ช่วยดูให้)
> ๕.มอบทรัพย์ให้ในโอกาสอันควร (การทำพินัยกรรม ก็ถือว่าเป็นสิ่งถูกต้อง)
> ๑๓.การสงเคราะห์ภรรยา
> เมื่อว่าด้วยเรื่องคนที่จะมาเป็นคู่ครองของชาย
> หรือที่เรียกว่าจะมาเป็นภรรยานั้น ในโลกนี้ท่านแบ่งลักษณะของภรรยาออกเป็น
> ๗ ประเภทได้แก่
> ๑.วธกาภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยเพชรฆาต เป็นพวกที่มีจิตใจคิดไม่ดี
> ชอบทำร้าย ชอบด่าทอสาปแช่ง คิดฆ่าสามี หรือมีชู้กับชายอื่น
> ๒.โจรีภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยโจร เป็นคนล้างผลาญ สร้างหนี้สิน
> หาได้เท่าไรก็ไม่พอ
> หรือเอาเรื่องในบ้านไปโพทนาให้คนข้างนอกรับรู้ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง
> ๓.อัยยาภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยนาย เป็นคนชอบข่มสามีให้อยู่ในอำนาจ
> ไม่ให้เกียรติสามีเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น ชอบสั่งการหรือเอาแต่ใจตัวเอง
> เห็นสามีเป็นคนไร้ความสามารถ แต่ตัวเองเป็นผู้นำ
> ๔.มาตาภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยแม่
> คือผู้ที่มีความรักต่อสามีอย่างสุดซึ้ง ไม่เคยทอดทิ้งแม้ยามทุกข์ยาก
> ป่วยไข้ ไม่ทำให้มีเรื่องสะเทือนใจ
> ๕.ภคินีภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยน้องสาว
> คือผู้ที่มีความเคารพต่อสามีในฐานะพ่อบ้าน
> แต่ขัดใจกันบ้างตามประสาคนใกล้ชิดกันแล้วก็ให้อภัยกัน โดยไม่คิดพยาบาท
> เดินตามแนวทางของสามี ต้องพึ่งพาสามี
> ๖.สขีภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยเพื่อน ต่างคนต่างก็มีอะไรที่เหมือนกัน
> ความสามารถพอกัน ไม่จำเป็นต้องพึ่งพากัน ไม่ค่อยยอมกัน เป็นตัวของตัวเอง
> แต่ก็รักกันและช่วยเหลือกันโดยต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง
> ๗.ทาสีภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยคนรับใช้
> คือภรรยาที่อยู่ภายใต้คำสั่งสามีโดยไม่มีข้อโต้แย้ง สามีเป็นผู้เลี้ยงดู
> สั่งอะไรก็ทำอย่างนั้นแม้จะไม่เห็นด้วยก็ไม่ออกความเห็น
> อดทนทำงานตามหน้าที่ตามแต่สามีจะสั่งการ แม้ถูกดุด่า
> เฆี่ยนตีก็ยังทนอยู่ได้โดยไม่โต้ตอบ
> ท่านว่าคนที่จะมาเป็นสามี ภรรยาได้ดีหรือคู่สร้างคู่สมนั้นควรต้องมีคุณสมบัติดังนี้
> ๑.สมสัทธา คือมีศรัทธาเสมอกัน
> ๒.สมสีลา คือมีศีลเสมอกัน
> ๓.สมจาคะ คือมีการเสียสละเหมือนกัน
> ๔.สมปัญญา คือมีปัญญาเสมอกัน
>
> เมื่อได้แต่งงานกันแล้ว แต่ละฝ่ายก็มีหน้าที่ที่ต้องทำดังนี้
> สามีมีหน้าที่ต่อภรรยาคือ
> ๑.ยกย่องนับถือว่าเป็นภรรยา คือการแนะนำเปิดเผยว่าเป็นภรรยา
> ไม่ปิดบังกับผู้อื่น และให้เกียรติภรรยาในการตัดสินใจเรื่องต่างๆด้วย
> ๒.ไม่ดูหมิ่น คือไม่ดูถูกภรรยาเมื่อทำไม่เป็น ทำไม่ถูก
> หรือเรื่องชาติตระกูล การศึกษาว่าต่ำต้อยกว่าตน แต่ต้องสอนให้
> ๓.ไม่ประพฤตินอกใจภรรยา คือการไปมีเมียน้อยนอกบ้าน เลี้ยงต้อย
> หรือเที่ยวเตร่หาความสำราญกับหญิงบริการ
> ๔.มอบความเป็นใหญ่ให้ในบ้าน คือการมอบธุระทางบ้านให้กับภรรยาจัดการ
> รับฟังและทำตามความเห็นของภรรยาเกี่ยวกับบ้าน
> ๕.ให้เครื่องแต่งตัว คือให้ความสุขกับภรรยาเรื่องการแต่งตัวให้พอดี
> เพราะสตรีเป็นผู้รักสวยรักงามโดยธรรมชาติ
> ฝ่ายภรรยาก็มีหน้าที่ต้องตอบแทนสามีคือ
> ๑.จัดการงานดี คืองานบ้านการเรือนต้องไม่บกพร่อง ดูแลด้านความสะอาด
> ทำนุบำรุงรักษา ด้านโภชนาการให้เรียบร้อยดี
> ๒.สงเคราะห์ญาติสามีดี คือให้ความเอื้อเฟื้อญาติฝ่ายสามี
> เท่าที่ตนมีกำลังพอทำได้ ไม่ได้หมายถึงเรื่องทรัพย์สินเงินทองอย่างเดียว
> ๓.ไม่ประพฤตินอกใจสามี คือไม่คบชู้ หรือปันใจให้ชายอื่น ซื่อสัตย์ต่อสามีคนเดียว
> ๔.รักษาทรัพย์ให้อย่างดี
> คือรู้จักรักษาทรัพย์สินไว้ไม่ให้หมดไปด้วยความสิ้นเปลือง
> แต่ก็ไม่ถึงกับตระหนี่
> ๕.ขยันทำงาน คือไม่เกียจคร้านเอาแต่ออกงาน นอน กิน
> หรือเที่ยวแต่อย่างเดียว ต้องทำงานบ้านด้วย
> ๑๔.การทำงานไม่ให้คั่งค้าง
> ว่าด้วยสาเหตุที่ทำให้งานคั่งค้างนั้นสรุปสาเหตุได้เพราะว่า
> ๑.ทำงานไม่ถูกกาล
> ๒.ทำงานไม่ถูกวิธี
> ๓.ไม่ยอมทำงาน
> หลักการทำงานให้เสร็จลุล่วงมีดังนี้
> ๑.ฉันทะ คือมีความพอใจในงานที่ทำ
> ๒.วิริยะ คือมีความตั้งใจ พากเพียรในงานที่ทำ
> ๓.จิตตะ คือมีความเอาใจใส่ในงานที่ทำ
> ๔.วิมังสา คือมีการคิดพิจารณาทบทวนงานนั้น
> ๑๕.การให้ทาน
> การให้ทาน คือการให้ที่ไม่หวังผลตอบแทนโดยหมายให้ผู้ได้รับได้พ้นจากทุกข์
> แบ่งออกเป็น ๓ อย่างได้แก่
> ๑.อามิสทาน คือการให้วัตถุ สิ่งของ หรือเงินเป็นทาน
> ๒.ธรรมทาน คือการสอนให้ธรรมะเป็นความรู้เป็นทาน
> ๓.อภัยทาน คือการให้อภัยในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ดีกับเรา ไม่จองเวร หรือพยาบาทกัน
> การให้ทานที่ถือว่าเป็นความดี และได้บุญมากนั้นจะประกอบด้วยปัจจัย ๓
> ประการอันได้แก่
> ๑.วัตถุบริสุทธิ์ คือเป็นของที่ได้มาโดยสุจริต ไม่ได้ไปยักยอกมา โกงมา
> หรือได้มาด้วยวิธีแยบยล
> ๒.เจตนาบริสุทธิ์ คือมีจิตยินดี ผ่องใสเบิกบาน
> ไม่รู้สึกเสียดายสิ่งที่ให้ ตั้งแต่ก่อนให้ ขณะให้ และหลังให้
> ๓.บุคคลบริสุทธิ์ คือให้กับผู้รับที่มีศีลธรรม ตัวผู้ให้เองก็ต้องมีศีลที่บริสุทธิ์
>
> การให้ทานที่ถือว่าไม่ดี และยังอาจเป็นบาปกรรมถึงเราทางอ้อมอีกด้วยได้แก่
> ๑.ให้สุรา ยาเสพย์ติด เป็นต้น (ถ้าเขาเมาแล้วขับรถชนตาย เราก็มีส่วนบาปด้วย)
> ๒.ให้อาวุธ (ถ้าอาวุธนั้นถูกเอาไปใช้ประหัตประหาร บาปก็มาถึงเราด้วย)
> ๓.ให้มหรสพ คือการบันเทิงทุกรูปแบบ
> ๔.ให้สัตว์เพศตรงข้ามเพื่อผสมพันธุ์ อันนี้รวมถึงการจัดหาสาวๆ
> ไปบำเรอผู้มีอำนาจหรือผู้น้อยด้วยเป็นต้น
> ๕.ให้ภาพลามก หรือสิ่งพิมพ์ลามก เพราะทำให้เกิดความกำหนัด เกิดกามกำเริบ
> (เมื่อดูแล้วเกิดไปฉุดคร่า ข่มขืนใคร บาปก็ตกทอดมาถึงเราด้วย)
> ๑๖.การประพฤติธรรม
> การประพฤติธรรม ก็คือการปฏิบัติให้เป็นไป แบ่งออกได้เป็น ๒ อันได้แก่
> กายสุจริต คือ
> ๑.การไม่ฆ่าสัตว์ หมายรวมหมดตั้งแต่สัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ และมนุษย์
> ๒.การไม่ลักทรัพย์ หมายรวมถึงการคอรัปชั่น ไปหลอกลวง ปล้นจี้ชาวบ้านด้วย
> ๓.การไม่ประพฤติผิดในกาม หมายรวมถึงการคบชู้ นอกใจภรรยา และการข่มขืนด้วย
> วจีสุจริต คือ
> ๑.การไม่พูดเท็จ คือการพูดแต่ความจริง ไม่หลอกลวง
> ๒.การไม่พูดคำหยาบ คือคำที่ฟังแล้วไม่รื่นหู เกิดความรู้สึกไม่สบายใจรวมหมด
> ๓.การไม่พูดจาส่อเสียด การนินทาว่าร้าย
> ๔.การไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล คือการพูดที่ไม่เป็นสาระ หาประโยชน์อันใดมิได้
> มโนสุจริต คือ
> ๑.การไม่โลภอยากได้ของผู้อื่น คือการนึกอยากได้ของเขามาเป็นของเรา
> ๒.การไม่คิดพยาบาทปองร้ายผู้อื่น คือการนึกอยากให้คนอื่นประสพเคราะห์กรรม
> คิดจะทำร้ายผู้อื่น
> ๓.การเห็นชอบ คือมีความเชื่อความเข้าใจในความเป็นจริง
> ความถูกต้องตามหลักคำสอนตามแนวทางพระพุทธศาสนา
> ๑๗.การสงเคราะห์ญาติ
> ลักษณะของญาติที่ควรให้การสงเคราะห์ เมื่ออยู่ในฐานะดังนี้คือ
> ๑.เมื่อยากจนหาที่พึ่งมิได้
> ๒.เมื่อขาดทุนทรัพย์ในการค้าขาย
> ๓.เมื่อขาดยานพาหนะ
> ๔.เมื่อขาดอุปกรณ์ทำมาหากิน
> ๕.เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย
> ๖.เมื่อคราวมีธุระการงาน
> ๗.เมื่อคราวถูกใส่ความหรือมีคดี
> การสงเคราะห์ญาติ ทำได้ทั้งทางธรรมและทางโลกได้แก่
> ในทางธรรม ก็ช่วยแนะนำให้ทำบุญกุศล ให้รักษาศีล และทำสมาธิภาวนา
> ในทางโลก ก็ได้แก่
> ๑.ให้ทาน คือการสงเคราะห์เป็นทรัพย์สิน
> หรือเงินทองเพื่อให้เขาพ้นจากทุกข์หรือความลำบากตามแต่กำลัง
> ๒.ใช้ปิยวาจา คือการพูดเจรจาด้วยถ้อยคำที่อ่อนโยน สุภาพ
> และประกอบไปด้วยความปรารถนาดี
> ๓.มีอัตถจริยา คือการประพฤติตนให้เป็นประโยชน์กับเขา
> อาจช่วยเหลือด้วยแรงกาย กำลังใจ หรือด้วยความสามารถที่มี
> ๔.รู้จักสมานัตตตา คือการวางตัวให้เหมาะสม อย่างเสมอต้นเสมอปลาย
> ร่วมทุกข์ร่วมสุข ไม่ถือตัว
> ๑๘.ทำงานที่ไม่มีโทษ
> งานที่ไม่มีโทษ ประกอบด้วยลักษณะดังต่อไปนี้
> ๑.ไม่ผิดกฏหมาย คือทำให้ถูกต้องตามกฏหมายของบ้านเมือง
> ๒.ไม่ผิดประเพณี คือแบบแผนที่ปฏิบัติกันมาแต่เดิม ควรดำเนินตาม
> ๓.ไม่ผิดศีล คือข้อห้ามที่บัญญัติไว้ในศีล ๕
> ๔.ไม่ผิดธรรม คือหลักธรรมทั้งหลายอาทิเช่น การพนัน การหลอกลวง
> ส่วนอาชีพต้องห้ามสำหรับพุทธศาสนิกชนได้แก่
> ๑.การค้าอาวุธ
> ๒.การค้ามนุษย์
> ๓.การค้ายาพิษ
> ๔.การค้ายาเสพย์ติด
> ๕.การค้าสัตว์เพื่อนำไปฆ่า
> ๑๙.ละเว้นจากบาป
> บาปคือสิ่งที่ไม่ดี เสีย ความชั่วที่ติดตัว ซึ่งไม่ควรทำ
> ท่านว่าสิ่งที่ทำแล้วถือว่าเป็นบาปได้แก่ อกุศลกรรมบถ ๑๐ คือ
> ๑.ฆ่าสัตว์
> ๒.ลักทรัพย์
> ๓.ประพฤติผิดในกาม
> ๔.พูดเท็จ
> ๕.พูดส่อเสียด
> ๖.พูดคำหยาบ
> ๗.พูดเพ้อเจ้อ
> ๘.โลภอยากได้ของเขา
> ๙.คิดพยาบาทปองร้ายคนอื่น
> ๑๐.เห็นผิดเป็นชอบ
> ๒๐.สำรวมจากการดื่มน้ำเมา
> ว่าด้วยเรื่องของน้ำเมานั้น อาจทำมาจากแป้ง ข้าวสุก การปรุงโดยผสมเชื้อ
> หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ดื่มแล้วทำให้มึนเมา เช่นเบียร์ ไวน์
> ไม่ใช่แค่เหล้าเท่านั้น ล้วนมีโทษอันได้แก่
> ๑.ทำให้เสียทรัพย์
> เพราะต้องนำเงินไปซื้อหาทั้งๆที่เงินจำนวนเดียวกันนี้สามารถนำเอาไปใช้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างอื่นได้มากกว่า
> ๒.ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาท ซึ่งนำไปสู่ความวุ่นวาย เจ็บตัว
> หรือถึงแก่ชีวิต และคดีความ เพราะน้ำเมาทำให้ขาดการยับยั้งชั่งใจ
> ๓.ทำให้เกิดโรค โรคที่เกิดเนื่องมาจากการดื่มสุราล้วนแล้วแต่บั่นทอนสุขภาพกายจนถึงตายได้เช่น
> โรคตับแข็ง โรคหัวใจ โรคความดัน
> ๔.ทำให้เสียชื่อเสียง เมื่อคนเมาไปทำเรื่องไม่ดีเข้าเช่นไปลวนลามสตรี
> ปล่อยตัวปล่อยใจ ก็ทำให้วงศ์ตระกูล และหน้าที่การงานเสื่อมเสีย
> ๕.ทำให้ลืมตัวไม่รู้จักอาย คนเมาทำสิ่งที่ไม่ควรทำ
> ทำสิ่งที่คนมีสติจะไม่ทำ เช่นแก้ผ้าเดิน หรือนอนในที่สาธารณะเป็นต้น
> ๖.ทอนกำลังปัญญา ทานแล้วทำให้เซลล์สมองเริ่มเสื่อมลง
> ก็จะทำให้สุขภาพและปัญญาเสื่อมถอย ความสามารถโดยรวมก็ด้อยลง
> ๒๑.ไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย
> ธรรมในที่นี้ก็คือหลักปฏิบัติที่ทำแล้วมีผลในทางดีและเป็นจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงโปรดแนะทางไว้
> คนที่ประมาทในธรรมนั้นมีลักษณะที่สรุปได้ดังนี้คือ
> ๑.ไม่ทำเหตุดี แต่จะเอาผลดี
> ๒.ทำตัวเลว แต่จะเอาผลดี
> ๓.ทำย่อหย่อน แต่จะเอาผลมาก
> สิ่งที่ไม่ควรประมาทได้แก่
> ๑.การประมาทในเวลา
> คือการปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปโดยไม่ทำอะไรให้เกิดประโยชน์
> หรือผลัดวันประกันพรุ่งเป็นต้น
> ๒.การประมาทในวัย คือคิดว่าอายุยังน้อย
> ไม่ต้องทำความเพียรก็ได้เพราะยังต้องมีชีวิตอยู่อีกนานเป็นต้น
> ๓.การประมาทในความไม่มีโรค คือคิดว่าตัวเองแข็งแรงไม่ตายง่ายๆ
> ก็ปล่อยปละละเลยเป็นต้น
> ๔.การประมาทในชีวิต คือการไม่กำหนดวางแผนถึงอนาคต
> คิดอยู่แต่ว่ายังมีชีวิตอยู่อีกนานเป็นต้น
> ๕.การประมาทในการงาน คือไม่ขยันตั้งใจทำให้สำเร็จ ปล่อยตามเรื่องตามราว
> หรือปล่อยให้ดินพอกหางหมูเป็นต้น
> ๖.การประมาทในการศึกษา คือการไม่คิดศึกษาเล่าเรียนในวัยที่ควรเรียน
> หรือขาดความเอาใจใส่ที่เพียงพอ
> ๗.การประมาทในการปฏิบัติธรรม
> คือการไม่ปฏิบัติสมาธิภาวนาหรือศึกษาหลักธรรมให้ถ่องแท้
> เพราะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวเป็นต้น
> ๒๒.มีความเคารพ
> ท่านได้กล่าวว่าสิ่งที่ควรเคารพมีอยู่ดังนี้
> ๑.พระพุทธเจ้า
> ๒.พระธรรม
> ๓.พระสงฆ์
> ๔.การศึกษา
> ๕.ความไม่ประมาท คือการดำเนินตามหลักธรรมคำสอนพระพุทธศาสนาอื่นๆ ด้วยความเคารพ
> ๖.การสนทนาปราศรัย คือการต้อนรับอาคันตุกะผู้มาเยือนด้วยความเคารพ
> ๒๓.มีความถ่อมตน
> ความอ่อนน้อมถ่อมตน คือ
> การไม่แสดงออกถึงความสามารถที่ตัวเองมีอยู่ให้ผู้อื่นทราบเพื่อข่มผู้อื่น
> หรือเพื่อโอ้อวด การไม่อวดดี เย่อหยิ่งจองหอง แต่แสดงตนอย่างสงบเสงี่ยม
> ท่านว่าไว้ว่าโทษของการอวดดีนั้นมีอยู่ดังนี้คือ
> ๑.ทำให้เสียคน คือไม่สามารถกลับมาอยู่ในร่องในรอยได้เหมือนเดิม เสียอนาคต
> ๒.ทำให้เสียมิตร คือไม่มีใครคบหาเป็นเพื่อนด้วย ถึงจะมีก็ไม่ใช่เพื่อนแท้
> ๓.ทำให้เสียหมู่คณะ คือถ้าต่างคนต่างถือดี ก็ทำให้ไม่สามารถตกลงกันได้
> ในที่สุดก็ไม่ถึงจุดหมาย หรือทำให้เป็นที่เบื่อหน่ายของคนอื่น
>
> การทำตัวให้เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนนั้นมีหลักดังนี้คือ
> ๑.ต้องคบกัลยาณมิตร คือเพื่อนที่ดีมีศีลมีธรรม
> คอยตักเตือนหรือชักนำไปในทางที่ดีที่ถูกที่ควร
> ๒.ต้องรู้จักคิดไตร่ตรอง
> คือการรู้จักคิดหาเหตุผลอยู่ตลอดถึงความเป็นไปในธรรมชาติของมนุษย์
> ต่างคนย่อมต่างจิตต่างใจ และรวมทั้งหลักธรรมอื่นๆ
> ๓.ต้องมีความสามัคคี คือการมีความสามัคคีในหมู่คณะ อะลุ่มอล่วยในหลักการ
> ตักเตือน รับฟังและเคารพความคิดเห็นของผู้อื่นอย่างมีเหตุผล
>
> ท่านว่าลักษณะของคนถ่อมตนนั้นมีดังนี้
> ๑.มีกิริยาที่นอบน้อม
> ๒.มีวาจาที่อ่อนหวาน
> ๓.มีจิตใจที่อ่อนโยน
> สรุปแล้วก็คือ สมบูรณ์พร้อมด้วยกาย วาจา และใจนั่นเอง
> ๒๔.มีความสันโดษ
> คำว่าสันโดษไม่ได้หมายถึงการอยู่ลำพังคนเดียวอย่างเดียวก็หาไม่
> แต่หมายถึงการพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ ในของของตัว
> ซึ่งท่านได้ให้นิยามที่เป็นลักษณะของความสันโดษเป็นดังนี้ คือ
> ๑.ยถาลาภสันโดษ หมายถึงความยินดีตามมีตามเกิด คือมีแค่ไหนก็พอใจเท่านั้น
> เป็นอยู่อย่างไรก็ควรจะพอใจ ไม่คิดน้อยเนื้อต่ำใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่
> ๒.ยถาพลสันโดษ หมายถึงความยินดีตามกำลัง เรามีกำลังแค่ไหนก็พอใจเท่านั้น
> ตั้งแต่กำลังกาย กำลังทรัพย์ กำลังบารมี หรือกำลังความสามารถเป็นต้น
> ๓.ยถาสารูปสันโดษ หมายถึงความยินดีตามควร
> ซึ่งโยงใยไปถึงความพอเหมาะพอควรในหลายๆเรื่อง เช่นรูปลักษณ์ของตนเอง
> และรวมทั้งฐานะที่เราเป็นอยู่
> ๒๕.มีความกตัญญู
> คือการรู้คุณ และตอบแทนท่านผู้นั้น
> บุญคุณที่ว่านี้มิใช่ว่าตอบแทนกันแล้วก็หายกัน
> แต่หมายถึงการรำลึกถึงพระคุณที่เคยให้ความอุปการะแก่เราด้วยความเคารพยิ่ง
> ท่านว่าสิ่งของหรือผู้ที่ควรกตัญญูนั้นมีดังนี้
> ๑.กตัญญูต่อบุคคล
> บุคคลที่ควรกตัญญูก็คือใครก็ตามที่มีบุญคุณควรระลึกถึงและตอบแทนพระคุณ
> เช่น บิดา มารดา อาจารย์เป็นต้น
> ๒.กตัญญูต่อสัตว์ ได้แก่สัตว์ที่มีคุณต่อเราช่วยทำงานให้เรา
> เราก็ควรเลี้ยงดูให้ดีเช่นช้าง ม้า วัว ควาย
> หรือสุนัขที่ช่วยเฝ้าบ้านเป็นต้น
> ๓.กตัญญูต่อสิ่งของ ได้แก่สิ่งของทุกอย่างที่มีคุณต่อเราเช่น
> หนังสือที่ให้ความรู้แก่เรา อุปกรณ์ทำมาหากินต่างๆ เราไม่ควรทิ้งคว้าง
> หรือทำลายโดยไม่เห็นคุณค่า
> ๒๖.การฟังธรรมตามกาล
> เมื่อมีโอกาส เวลา หรือตามวันสำคัญต่างๆ
> ก็ควรต้องไปฟังธรรมบ้างเพื่อสดับตรับฟังสิ่งที่เป็นประโยชน์ในหลักธรรมนั้นๆ
> และนำมาใช้กับชีวิตเราเพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้น
> ท่านว่าเวลาที่ควรไปฟังธรรมนั้นมีดังนี้คือ
> ๑.วันธรรมสวนะ ก็คือวันพระ หรือวันที่สำคัญทางศาสนา
> ๒.เมื่อมีผู้มาแสดงธรรม ก็อย่างเช่น การฟังธรรมตามวิทยุ
> การที่มีพระมาแสดงธรรมตามสถานที่ต่างๆ หรือการอ่านจากสื่อต่างๆ
> ๓.เมื่อมีโอกาสอันสมควร อาทิเช่นในวันอาทิตย์เมื่อมีเวลาว่าง
> หรือในงานมงคล งานบวช งานกฐิน งานวัดเป็นต้น
> คุณสมบัติของผู้ฟังธรรมที่ดีควรต้องมีดังนี้คือ
> ๑.ไม่ดูแคลนในหัวข้อธรรมว่าง่ายเกินไป
> ๒.ไม่ดูแคลนในความรู้ความสามารถของผู้แสดงธรรม
> ๓.ไม่ดูแคลนในตัวเองว่าโง่ ไม่สามารถเข้าใจได้
> ๔.มีความตั้งใจในการฟังธรรม และนำไปพิจารณา
> ๕.นำเอาธรรมนั้นๆไปปฏิบัติให้เกิดผล
> ๒๗.มีความอดทน
> ท่านว่าลักษณะของความอดทนนั้นสามารถจำแนกออกได้เป็นดังต่อไปนี้คือ
> ๑.ความอดทนต่อความลำบาก คือความลำบากที่ต้องประสพตามธรรมชาติ
> ซึ่งอาจมาจากสภาพแวดล้อมเป็นต้น
> ๒.ความอดทนต่อทุกขเวทนา คือทุกข์ที่เกิดจากสังขารของเราเอง
> เช่นความไม่สบายกายเป็นต้น
> ๓.ความอดทนต่อความเจ็บใจ คือการที่คนอื่นทำให้เราต้องผิดหวัง
> หรือพูดจาให้เจ็บช้ำใจ ไม่เป็นอย่างที่หวังเป็นต้น
> ๔.ความอดทนต่ออำนาจกิเลส
> คือสิ่งยั่วยวนทั้งหลายถือเป็นกิเลสทั้งทางใจและทางกายอาทิเช่น
> ความนึกโลภอยากได้ของเขา หรือการพ่ายแพ้ต่ออำนาจเงินเป็นต้น
> วิธีทำให้มีความอดทนคือ มีหิริโอตัปปะ
> ๑.หิริ ได้แก่การมีความละอายต่อบาป
> การที่รู้ว่าเป็นบาปแล้วยังทำอีกก็ถือว่าไม่มีความละอายเลย
> ๒.โอตัปปะ ได้แก่การมีความเกรงกลัวในผลของบาปนั้นๆ
> ๒๘.เป็นผู้ว่าง่าย
> ท่านว่าผู้ว่าง่ายนั้นมีลักษณะที่สังเกตได้ดังนี้คือ
> ๑.ไม่พูดกลบเกลื่อนเมื่อได้รับการว่ากล่าวตักเตือน คือการรับฟังด้วยดี
> ไม่ใช่แก้ตัวแล้วปิดประตูความคิดไม่รับฟัง
> ๒.ไม่นิ่งเฉยเมื่อได้รับการเตือน
> คือการนำคำตักเตือนนั้นมาพิจารณาและแก้ไขข้อบกพร่องนั้นๆ
> ๓.ไม่จับผิดผู้ว่ากล่าวสั่งสอน คือการที่ผู้สอนอาจจะมีความผิดพลาด
> เนื่องจากความประมาท เราควรให้อภัยต่อผู้สอน
> เพราะการจับผิดทำให้ผู้สอนต้องอับอายขายหน้าได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดีงาม
> ๔.เคารพต่อคำสอนและผู้สอน คือการรู้จักสัมมาคารวะต่อผู้ทำให้คำสอน
> และเคารพในสิ่งที่ผู้สอนได้นำมาแนะนำ
> ๕.มีความอ่อนน้อมถ่อมตน คือไม่แสดงความยะโส
> ถือตัวว่าอยู่เหนือผู้อื่นเพราะสิ่งที่ตัวเองเป็นตัวเองมี
> ๖.มีความยินดีต่อคำสอนนั้น คือยอมรับในคำสอนนั้นๆ
> ด้วยความยินดีเช่นการไม่แสดงความเบื่อหน่ายเพราะเคยฟังมาแล้ว เป็นต้น
> ๗.ไม่ดื้อรั้น คือการไม่อวดดี
> คิดว่าของตัวเองนั้นผิดแต่ก็ยังดันทุรังทำต่อไปเพราะกลัวเสียชื่อ
> เสียฟอร์ม
> ๘.ไม่ขัดแย้ง เพราะว่าการว่ากล่าวตักเตือนหรือสั่งสอนนั้นก็คือ
> สิ่งที่ตรงข้ามกับที่เราทำอยู่แล้ว
> เราควรต้องเปิดใจให้กว้างไม่ขัดแย้งต่อคำสอน คำวิจารณ์นั้นๆ
> ๙.ยินดีให้ตักเตือนได้ทุกเวลา
> คือการยินดีให้มีการแสดงความคิดเห็นตักเตือนได้โดยไม่มีข้อยกเว้นเรื่องเวลา
> ๑๐.มีความอดทนต่อการเป็นผู้ถูกสั่งสอน
> คือการไม่เอาความขัดแย้งในความเห็นเป็นอารมณ์
> แต่ให้เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของผู้สอนนั้น
> การทำให้เป็นคนว่าง่ายนั้นทำได้ดังนี้
> ๑.ลดมานะของตัว คือการไม่ถือดี ไม่ถือตัว
> ความไม่สำคัญตัวเองว่าเป็นอย่างโน้นอย่างนี้
> อาทิเช่นถือตัวว่าการศึกษาดีกว่าเป็นต้น
> ๒.ละอุปาทาน คือการไม่ยึดถือในสิ่งที่เรามี เราเป็น หรือถือมั่นในอำนาจกิเลสต่างๆ
> ๓.มีสัมมาทิฏฐิ คือมีปัญญาที่เห็นชอบ การเห็นถูกเห็นควรตามหลักอริยสัจ ๔
> เชื่อเรื่องความไม่เที่ยง เชื่อในเรื่องบุญเรื่องบาปเป็นต้น
> ๒๙.การได้เห็นสมณะ
> คำว่าสมณะแปลตรงตัวได้ว่า ผู้สงบ (หมายถึงผู้อยู่ในสมณเพศ)
> ท่านว่าคุณสมบัติของสมณะต้องประกอบไปด้วย ๓ อย่างคือ
> ๑.ต้องสงบกาย คือมีความสำรวมในการกระทำทุกอย่าง รวมถึงกิริยา มรรยาท ตามหลักศีลธรรม
> ๒.ต้องสงบวาจา คือการพูดจาให้อยู่ในกรอบของความพอดี
> มีความสุภาพสงบเสงี่ยมในคำพูดและภาษาที่ใช้ เป็นไปตามข้อปฏิบัติ ประเพณี
> ๓.ต้องสงบใจ คือการทำใจให้สงบปราศจากกิเลสครอบงำ ไม่ว่าจะเป็น โลภ โกรธ
> หลง หรือความพยาบาทใดๆ ตั้งมั่นอยู่ในสมาธิภาวนา
> การได้เห็นสมณะมีอยู่ดังนี้คือ
> ๑.เห็นด้วยตา ความหมายก็ตรงตัวคือการเห็นจากการสัมผัสด้วยสายตาของตนเอง
> แล้วมีความประทับใจในความสำรวมในกาย
> ๒.เห็นด้วยใจ เนื่องจากความสำรวมกาย วาจา
> ใจของสมณะจะช่วยโนัมน้าวจิตใจของเราให้โอนอ่อนผ่อนตาม
> และรับฟังหลักคำสอนด้วยใจที่ยินดี
> ซึ่งนั่นก็หมายถึงการเปิดใจเราให้สมณะได้ชี้นำนั่นเอง
> ๓.เห็นด้วยปัญญา หมายความถึงการรู้โดยการใช้ปัญญาใคร่ครวญ
> พิจารณาในการสัมผัสและเข้าถึงและรับรู้ถึงคำสอนของสมณะผู้นั้น
> และรู้ว่าท่านเป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรมอย่างแท้จริง
>
> เมื่อเห็นแล้วก็ต้องทำอย่างนี้คือ
> ๑.ต้องเข้าไปหา คือเข้าไปขอคำแนะนำ ชี้แนะจากท่าน หรือให้ความเคารพท่าน
> ๒.ต้องเข้าไปบำรุงช่วยเหลือ คือการช่วยเหลือท่านในโอกาสอันควร
> เพื่อแบ่งเบาภาระของท่าน
> ๓.ต้องเข้าไปฟัง คือการรับฟังคุณธรรม
> หลักคำสอนของท่านมาไว้เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาชีวิต
> ๔.หมั่นระลึกถึงท่าน
> คือการระลึกถึงความดีที่ท่านมีแล้วนำมาเป็นตัวอย่างกับตัวเราเอง
> ๕.รับฟังรับปฏิบัติ คือการรับคำแนะนำของท่านมาปฏิบัติทำตามเพื่อให้เกิดผล
> ครั้นเมื่อติดขัดก็ใคร่แก้ไขเพื่อให้รู้จริงเห็นจริงตามนั้น
> ๓๐.การสนทนาธรรมตามกาล
> การได้สนทนากันเรื่องธรรม ทำให้ขยายขอบเขตการเรียนรู้ แลกเปลี่ยนความรู้
> และได้รู้ในสิ่งใหม่ๆ ที่เราอาจนึกไม่ถึง
> หรือเป็นการเผื่อแผ่ความรู้ที่เรามีให้แก่ผู้อื่นได้ทราบด้วย
> ก่อนที่เราจะสนทนาธรรม ควรต้องพิจารณาและคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้คือ
> ๑.ต้องรู้เรื่องที่จะพูดดี
> ๒.ต้องพูดเรื่องจริง มีประโยชน์
> ๓.ต้องเป็นคำพูดที่ไพเราะ
> ๔.ต้องพูดด้วยความเมตตา
> ๕.ต้องพูดจาโอ้อวด ยกตนข่มท่าน
> ข้อปฏิบัติเมื่อมีการสนทนาธรรม
> ๑.มีศีลธรรม คือการเป็นผู้ที่รักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ เป็นนิจศีลอยู่แล้ว
> การเป็นผู้ปฏิบัติถือเป็นหน้าที่ขั้นต้นในการเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี
> ๒.มีสมาธิดี คือการมีจิตใจจดจ่ออยู่กับเรื่องที่สนทนา ไม่วอกแวก
> พร้อมทั้งเป็นผู้ที่หมั่นเจริญสมาธิภาวนาด้วย
> ๓.แต่งการสุภาพ คือการแต่งตัวให้เหมาะสมกับยุคสมัย
> อยู่ในกรอบประเพณีของสังคมแวดล้อม ณ ที่นั้นๆ ถูกกาลเทศะ
> ๔.มีกิริยาสุภาพ คือมีความสุภาพในท่วงท่าไม่ว่าจะเดิน นั่ง ยืน
> หรือการกระทำใดๆ การที่มีกิริยางดงาม
> สุภาพย่อมโน้มน้าวจิตใจผู้พบเห็นให้เกิดความประทับใจที่ดี
> ๕.ใช้วาจาสุภาพ คือการใช้ถ้อยคำที่สุภาพในการสนทนา ไม่ใช้คำหยาบคาย หรือก้าวร้าว
> ๖.ไม่กล่าวค้านพระพุทธพจน์
> คือการไม่นำเอาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาเป็นข้อสงสัย หรือกล่าวค้าน
> เพราะสิ่งที่กล่าวไว้ในพระพุทธพจน์ย่อมเป็นความจริงตลอดกาล
> ๗.ไม่ออกนอกประเด็นที่ตั้งไว้ คือการพูดให้อยู่ในหัวข้อที่ตั้งไว้
> ไม่พูดแบบน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง
> ๘.ไม่พูดนานจนน่าเบื่อ คือการเลือกเวลาที่เหมาะสมตามสถานการณ์
> เนื่องจากเรื่องบางเรื่องอาจไม่จำเป็นต้อ
> ๓๑.การบำเพ็ญตบะ
> ตบะ โดยความหมายแปลว่า ทำให้ร้อน ไม่ว่าด้วยวิธีใด
> การบำเพ็ญตบะหมายความถึงการทำให้กิเลส ความรุ่มร้อนต่างๆ หมดไป
> หรือเบาบางลง ลักษณะการบำเพ็ญตบะมีดังนี้
> ๑.การมีใจสำรวมในอินทรีย์ทั้ง ๖ (อายตนะภายใน ๖ อย่าง) ได้แก่ ตา หู จมูก
> ลิ้น กาย และใจ ไม่ให้หลงติดอยู่กับสัมผัสภายนอกมากเกินไป
> ไม่ให้กิเลสครอบงำใจเวลาที่รับรู้อารมณ์ผ่านอินทรีย์ทั้ง ๖
> (อินทรีย์สังวร)
> ๒.การประพฤติรักษาพรหมจรรย์ เว้นจากการร่วมประเวณี หรือกามกิจทั้งปวง
> ๓.การปฏิบัติธรรม คือการรู้และเข้าใจในหลักธรรมเช่นอริยสัจ เป็นต้น
> ปฏิบัติตนให้อยู่ในศีล และถึงพร้อมด้วยสมาธิ และปัญญา
> โดยมีจุดหมายสูงสุดที่พระนิพพาน กำจัดกิเลส
> ละวางทุกสิ่งได้หมดสิ้นด้วยปัญญา
> ๓๒.การประพฤติพรหมจรรย์
> คำว่าพรหมจรรย์หมายความถึง การบวชซึ่งละเว้นเมถุน
> การครองชีวิตที่ปราศจากเมถุน การประพฤติธรรมอันประเสริฐ
> ท่านว่าลักษณะของธรรมที่ถือว่าเป็นการประพฤติพรหมจรรย์นั้น
> (ไม่ใช่ว่าต้องบวชเป็นพระ) มีอยู่ดังนี้คือ
> ๑.ให้ทาน บริจาคทานไม่ว่าจะเป็นทรัพย์ สิ่งของ เงินทอง หรือปัญญา
> ๒.ช่วยเหลือผู้อื่นในกิจการงานที่ชอบ ที่ถูกที่ควร (เวยยาวัจจมัย)
> ๓.รักษาศีล ๕ คือไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักขโมย ไม่ทำผิดในกาม ไม่พูดปด
> ไม่ดื่มน้ำเมา (เบญจศีล)
> ๔.มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขากับคนที่เราต้องพบปะด้วยทุกคน (อัปปมัญญา)
> ๕.งดเว้นจากการเสพกาม (เมถุนวิรัติ)
> ๖.ยินดีในคู่ของตน คือการมีสามีหรือภรรยาคนเดียว (สทารสันโดษ)
> ๗.เพียรพยายามที่จะละความชั่ว ไม่ท้อถอยในความบากบั่น (วิริยะ)
> ๘.รักษาซึ่งศีล ๘ คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักขโมย ไม่ร่วมประเวณี ไม่พูดปด
> ไม่ดื่มน้ำเมา ไม่บริโภคอาหารตั้งแต่เที่ยงวันเป็นต้นไป ไม่ฟ้อนรำ
> ขับร้อง บรรเลงดนตรี ดูการละเล่น ใช้ของหอมหรือเครื่องประดับ
> ไม่นอนบนที่สูงใหญ่ หรูหรา (อุโบสถ)
> ๙.ใช้ปัญญาเห็นแจ้งใน ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค (อริยธรรม)
> ๑๐.ศึกษาปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา ให้รู้แจ้งเห็นจริง (สิกขา)
> *ขออธิบายเพิ่มเติมว่าข้อ ๕ ที่บอกว่าให้งดเว้นการเสพกาม แต่ข้อ ๖
> ให้ยินดีในคู่ของตนนั้น เพราะว่าการประพฤติพรหมจรรย์ในที่นี้หมายถึง
> บุคคลทั่วไปที่อาจมีครอบครัวแล้ว
> ก็ประพฤติพรหมจรรย์ได้โดยการงดเว้นการร่วมประเวณี เช่นในวันสำคัญๆเป็นต้น
> ๓๓.การเห็นอริยสัจ
> อริยสัจ หมายถึงความจริงอันประเสริฐ หลักแห่งอริยสัจมีอยู่ ๔
> ประการตามที่ท่านได้สั่งสอนไว้มีดังนี้
> ๑.ทุกข์ คือความไม่สบายกายไม่สบายใจ
> ความเป็นจริงของสัตว์โลกทุกผู้ทุกนามต้องมีทุกข์ ๓ ประการคือ การเกิด
> ความแก่ ความตาย นอกจากนี้ก็มีความทุกข์ที่เป็นอาการ
> หรือเกิดจากสภาพแวดล้อมสรุปได้ดังนี้คือ
> -ความโศกเศร้า (โสกะ)
> -ความรำพันด้วยความเสียใจ (ปริเทวะ)
> -ความเจ็บไข้ได้ป่วย (ทุกขะ)
> -ความเสียใจ (โทมนัสสะ)
> -ความท้อแท้ สิ้นหวัง คับแค้นใจ (อุปายาสะ)
> -การตรอมใจ ผิดหวังจากสิ่งที่ไม่รัก (อัปปิเยหิ สัมปโยคะ)
> -การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก (ปิเยหิ วิปปโยคะ)
> -ความหม่นหมองเมื่อปรารถนาแล้วไม่ได้สิ่งนั้น (ยัมปิจฉัง นลภติ)
> ๒.สมุทัย คือเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์
> นอกจากเหตุแห่งทุกข์ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
> ต้นตอของทุกข์ก็อยู่ที่ใจของเราด้วยนั่นก็คือความอยาก ท่านว่าเป็นตัณหา ๓
> อย่าง ซึ่งแบ่งออกได้เป็นดังนี้คือ
> -ความอยากได้ หมายรวมถึงอยากทุกอย่างที่นำมาสนองสัมผัสทั้ง ๕ และกามารมณ์
> (กามตัณหา)
> -ความอยากเป็น คือความอยากเป็นโน่นเป็นนี่ (ภวตัณหา)
> -ความไม่อยากเป็น คือความไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ (วิภวตัณหา)
> ๓.นิโรธ คือความดับทุกข์ ภาวะที่ตัณหาดับสิ้นไป ความหลุดพ้น
> หรือหมายถึงภาวะของพระนิพพานนั่นเอง
> ๔.มรรค คือข้อปฏิบัติ หรือหนทางที่นำไปสู่การดับทุกข์
> การเดินทางสายกลางเพื่อไปให้ถึงการดับทุกข์ คือ มรรคมี ๘ ประการ คือ
> -ความเห็นชอบ เช่นความศรัทธาในเบื้องต้นต่อหลักธรรม คำสอน
> เช่นการเชื่อว่ากรรมดีกรรมชั่วมีจริงเป็นต้น (สัมมาทิฏฐิ)
> -ความดำริชอบ หรือความคิดชอบ มีความคิดที่ถูกต้องตามหลักธรรม
> เช่นการใช้ปัญญาพิจารณาความไม่เที่ยงของสังขาร
> หรือการไม่คิดอยากได้ของเขามาเป็นของเราเป็นต้น (สัมมาสังกัปปะ)
> -เจรจาชอบ คือการปฏิบัติตามหลักธรรม ไม่พูดโกหก ไม่พูดส่อเสียด
> ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อเป็นต้น (สัมมาวาจา)
> -ทำการชอบ หรือการมีการกระทำที่ไม่ผิดหลักศีลธรรม เช่นไม่ฆ่าสัตว์
> ไม่ลักทรัพย์เป็นต้น (สัมมากัมมันตะ)
> -เลี้ยงชีพชอบ คือการทำมาหากินในทางที่ถูก
> ไม่เบียดเบียนหรือทำความเดือดร้อนให้กับสัตว์หรือผู้อื่น
> อยู่ในหลักธรรมที่กำหนด เช่น ไม่มีอาชีพค้ามนุษย์
> หรืออาชีพค้าอาวุธเป็นต้น (สัมมาอาชีวะ)
> -ความเพียรชอบ คือการหมั่นทำนุบำรุงในสิ่งที่ถูกต้อง
> อาทิเช่นการพยายามละกิเลสออกจากใจ หรือการพยายามสำรวม กาย วาจา
> ใจให้ดำเนินตามหลักธรรมของท่านเป็นต้น (สัมมาวายามะ)
> -ความระลึกชอบ คือมีสติตั้งมั่นในสิ่งที่ถูกต้องตามหลักธรรม
> เช่นการพึงระลึกถึงความตายที่ต้องเกิดกับทุกคนเป็นต้น (สัมมาสติ)
> -จิตตั้งมั่นชอบ คือมีจิตที่มีสมาธิ ไม่วอกแวกหรือคิดฟุ้งซ่าน
> และการทำสมาธิภาวนาตามหลักการที่ท่านได้บัญญัติแนะนำเอาไว้ (สัมมาสมาธิ)
> ๓๔.การทำให้แจ้งในพระนิพพาน
> นิพพาน คือ ภาวะของจิตที่ดับกิเลสได้หมดสิ้น หลุดจากอำนาจกรรม
> และไม่ต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏอีก ซึ่งก็คือพ้นจากทุกข์นั่นเอง
> ท่านว่าลักษณะของนิพพานมีอยู่ ๒ ระดับดังนี้คือ
> ๑.การดับกิเลสขณะที่ยังมีเบญจขันธ์เหลืออยู่
> หรือการเข้าถึงนิพพานขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ -สอุปาทิเสสนิพพาน
> ๒.การดับกิเลสที่ไม่มีเบญจขันธ์เหลืออยู่เลย
> คือการที่ร่างกายเราแตกดับแล้วไปเสวยสุขอันเป็นอมตะในพระนิพพาน
> (ตรงนี้ไม่สามารถอธิบายให้กระจ่างมากไปกว่านี้ได้) -อนุปาทิเสสนิพพาน
> การที่จะเข้าถึงพระนิพพานได้ ก็ต้องปฏิบัติธรรมและเจริญสมาธิภาวนาจนถึงขั้นสูงสุด
> ๓๕.มีจิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม
> คำว่าโลกธรรม มีความหมายถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำบนโลกนี้
> ซึ่งเราไม่ควรมีจิดหวั่นไหวต่อสิ่งต่างๆ เหล่านี้
> ท่านว่าลักษณะของโลกธรรมมี ๔ ประการคือ
> ๑.การได้ลาภ เมื่อมีลาภผลก็ย่อมมีความเสื่อมเป็นธรรมดา
> มีแล้วก็ย่อมหมดไปได้ เป็นแค่ความสุขชั่วคราวเท่านั้น
> ๒.การได้ยศ ยศฐาบรรดาศักดิ์ล้วนเป็นสิ่งสมมุติขึ้นมาทั้งนั้น
> เป็นสิ่งที่คนยอมรับกันว่าเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ พอหมดยศก็หมดบารมี
> ๓.การได้รับการสรรเสริญ ที่ใดมีคนนิยมชมชอบ
> ที่นั่นก็ย่อมต้องมีคนเกลียดชังเป็นเรื่องธรรมดา
> การถูกนินทาจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติ
> ๔.การได้รับความสุข ที่ใดมีสุขที่นั่นก็จะมีทุกข์ด้วย
> มีความสุขแล้วก็อย่าหลงระเริงไปจนลืมนึกถึงความทุกข์ที่แฝงมาด้วย
> การทำให้จิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม มีวิธีดังนี้คือ
> ๑.ใช้ปัญญาพิจารณา โดยตั้งอยู่ในหลักธรรมของพระพุทธศาสนา
> พิจารณาอยู่เนืองๆ ถึงหลักธรรมต่างๆ
> ๒.เจริญสมาธิภาวนา
> ใช้กรรมฐานพิจารณาถึงความเป็นไปในความไม่เที่ยงในสรรพสิ่งทั้งหลายในโลก
> และสังขาร
> ๓๖.มีจิตไม่โศกเศร้า
> ท่านว่ามีเหตุอยู่ ๒ ประการที่ทำให้จิตเราต้องโศกเศร้าคือ
> ๑.ความโศกเศร้าที่เกิดเนื่องมาจากความรัก รวมถึงรักสิ่งของ ทรัพย์สินเงินทองด้วย
> ๒.ความโศกเศร้าที่เกิดจากความใคร่
> การทำให้จิตใจไม่โศกเศร้านั้น มีข้อแนะนำดังนี้
> ๑.ใช้ปัญญาพิจารณาอยู่เนืองๆ ถึงความไม่เที่ยงในสิ่งของทั้งหลาย และร่างกายของเรา
> ๒.ไม่ยึดมั่นในตัวตน หรือความจีรังยั่งยืน ในคนหรือสิ่งของว่าเป็นของเรา
> ๓.ทุกอย่างในโลกล้วนเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ
> แม้ร่างกายเราก็ใช้เป็นที่อาศัยชั่วคราวเท่านั้น
> ๔.คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่เที่ยงด้วยกันทั้งนั้น
> ๓๗.มีจิตปราศจากกิเลส
> กิเลส ก็คือสิ่งที่ทำให้เกิดความเศร้าหมอง ซึ่งได้แก่ ความโลภ ความโกรธ
> ความหลง ท่านได้แบ่งประเภทของกิเลสออกเป็นดังนี้ คือ
> ๑.ราคะ สามารถแบ่งย่อยออกได้เป็น
> -ความโลภอย่างแรงจนแสดงออกมา เช่นการลักขโมย ปล้น จี้ ข่มขืนกระทำชำเรา
> เป็นต้น (อภิชฌาวิสมโลภะ)
> -ความเพ่งเล็งจะเอาของคนอื่นมาเป็นของตัว
> มีใจอยากได้ของคนอื่นแต่ยังไม่ถึงกับแสดงออก (อภิชฌา)
> -ความอยากได้ในทางไม่ชอบ เช่นการยอมรับสินบน
> การทุจริตเพื่อแลกกับการมีทรัพย์เป็นต้น (ปาปิจฉา)
> -ความมักมากเห็นแก่ได้ ด้วยการเอามาเป็นของตนจนเกินพอดี
> เอาประโยชน์ใส่ตัวโดยไม่คำนึงถึงคนอื่น (มหิจฉา)
> -ความยินดีในกาม ก็คือยังไม่สามารถละกิจกรรมทางเพศได้ ยังมีความรู้สึก
> มีแรงกระตุ้น มีความพอใจในเรื่องเพศ (กามระคะ)
> -ความยินดีในรูปธรรมอันประณีต ก็คือติดอยู่ในอารมณ์ของรูปฌาณ
> ปรารถนาในรูปของภพเมื่อทำสมาธิขั้นสูงขึ้นไป (รูปราคะ)
> -ความยินดีในอรูปฌาณ
> ก็คือติดอยู่ในอารมณ์ของอรูปฌาณเมื่อทำสมาธิถึงภพของอรูปพรหม (อรูปราคะ)
> ๒.โทสะ สามารถแบ่งย่อยออกได้เป็น
> -พยาบาท คือการผูกใจอาฆาต มีใจที่ไม่หวังดี การจองเวร
> -โทสะ คือการคิดประทุษร้าย เนื่องด้วยมีใจพยาบาทแล้วก็มีใจคิดหมายทำร้าย
> -โกธะ คือความโกรธ ความเดือดร้อนใจ ซึ่งล้วนเป็นเหมือนไฟที่เผาตัวเอง
> -ปฏิฆะ คือความขัดใจ ความไม่พอใจอันทำให้อารมณ์หงุดหงิด
> ๓.โมหะ สามารถแบ่งย่อยออกได้เป็น
> -ความเห็นผิดเป็นชอบ เช่นการไม่เชื่อในเรื่องบาป เรื่องบุญเป็นต้น (มิจฉาทิฐิ)
> -ความหลงผิด ไม่รู้ตามความเป็นจริง (โมหะ)
> -การเห็นว่ามีตัวตน เช่นการเชื่อในสิ่งที่มองเห็นด้วยตาเปล่าเท่านั้น (สังกายทิฏฐิ)
> -ความสงสัย คือสงสัยในพระธรรม
> คำสั่งสอนในเรื่องการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ (วิจิกิจฉา)
> -การยึดถืออย่างงมงาย เช่นการไปกราบไหว้สัมพเวสีที่อยู่ตามต้นไม้
> ขอลาภเป็นต้น (สีลัพพตปรามาส)
> -ความถือตัว คือการสำคัญตัวเองผิดว่าเป็นอย่างโน้นเป็นอย่างนี้ (มานะ)
> -ความฟุ้งซ่าน คือการที่จิตใจว่อกแวก คิดไม่เป็นสาระ
> ไม่อยู่กับร่องกับรอย ไม่มีสมาธิ หรือการทำสมาธิไม่นิ่ง (อุทธัจจะ)
> -ความไม่รู้จริง คือการที่รู้แค่ผิวเผิน หรือการทึกทักเอาเอง
> ไม่ปฏิบัติตามหลักพระธรรม ยังไม่เกิดปัญญา (อวิชชา)
> โทษของการมีกิเลสดังกล่าวข้างต้นพอสรุปได้สั้นๆ ดังนี้คือ
> ๑.ราคะ มีโทษน้อย แต่คลายช้า
> ๒.โทสะ มีโทษมาก แต่คลายเร็ว
> ๓.โมหะ มีโทษมาก แต่คลายช้า
> ๓๘.มีจิตเกษม
> เกษม หมายถึงมีความสุข สบาย หรือสภาพที่มีจิตใจที่เป็นสุข
> มีจิดเกษมก็คือว่ามีจิตที่เป็นสุขในที่นี้หมายถึงการละแล้วซึ่งกิเลส
> ที่ท่านว่าไว้ว่าเป็นเครื่องผูกอยู่ ๔ ประการคือ
> ๑.การละกามโยคะ คือการละความยินดีในวัตถุ
> สิ่งมีชีวิตทั้งหลายเรียกว่ากามคุณซึ่งประกอบด้วย รูป รส กลิ่น เสียง
> และสัมผัส
> ๒.การละภวโยคะ คือการละความยินดีในภพ
> โดยให้เห็นว่าสิ่งใดๆในโลกล้วนไม่เที่ยงแท้ หรือคงอยู่ตลอดไป
> ๓.การละทิฏฐิโยคะ คือการละความยินดีในความเห็นผิดเป็นชอบ
> โดยให้ดำเนินตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าที่กล่าวมาแล้ว
> ๔.การละอวิชชาโยคะ คือการละความยินดีในอวิชชาทั้งหลาย ความไม่รู้ทั้งหลาย
> โดยให้มุ่งปฏิบัติเพื่อปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริง
> จาก ครูพละ (ขอขอบพระคุณท่านที่รวบรวมมาให้เป็นวิทยาทานครับ)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น